ผู้เห็นความเกิดดับเหมือนเปลวประทีป
พระกีสาโคตมีเถรีเกิดในสกุลคนเข็ญใจในกรุงสาวัตถี ครั้งหนึ่งเศรษฐีตระกูลหนึ่งในเมืองสาวัตถีประสบเคราะห์กรรมคือเงินและทองกลายเป็นถ่าน แต่เมื่อนางกิสาโคตมีมาแตะถ่านเหล่านั้น ถ่านก็กลับกลายเป็นเงินและทองอย่างเดิม เศรษฐีจึงสู่ขอมาเป็นลูกสะใภ้ แต่ก็ถูกคนเหล่านั้นเหยียดหยาม ต่อมานางให้กำเนิดบุตรชาย แต่บุตรนั้นก็ได้ตายจากไป เมื่ออายุเพียง ๓ ขวบ การตายของบุตรจึงทำให้นางตกอยู่ในความทุกข์อย่างหนัก อุ้มศพลูกไปทุกหนทุกแห่ง จนกระทั่งมาพบพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
พระพุทธองค์ทรงแนะอุบายคลายความทุกข์โดยการให้นางไปเสาะหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย นางต้องผิดหวังเพราะทุกบ้านนั้นก็ล้วนแต่มีคนตายทั้งสิ้น
นางจึงคิดได้ว่า
ธรรมนี้นี่แหละคือความไม่เที่ยง
มิใช่ธรรมของชาวบ้าน
มิใช่ธรรมของนิคม
ทั้งมิใช่ธรรมสกุลเดียวด้วย
แต่เป็นธรรมของโลกทั้งหมด พร้อมทั้งเทวโลก
แล้วไปยังสำนักของพระศาสดา กราบทูลว่าไม่มีการที่จะใช้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแล้ว แต่ขอพระผู้มีพระภาคประทานที่พึ่งแก่ตน
พระศาสดาตรัสคาถาในธรรมบทแก่นางว่า
มฤตยูย่อมพาเอานรชนผู้มัวเมาในลูกและสัตว์เลี้ยง
ผู้มีใจข้องอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ ไป
เหมือนห้วงน้ำใหญ่พัดพาเอาชาวบ้านที่หลับไหลอยู่ไป ฉะนั้น
เมื่อจบพระคาถา นางดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ทูลขอบรรพชา ไม่นานนัก กระทำกรรมในโยนิโสมนสิการ เจริญวิปัสสนา
ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระคาถาพร้อมด้วยเปล่งโอภาส [รัศมี] แก่นางว่า
ก็ผู้ใดไม่เห็นอมตบท พึงมีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี
ชีวิตของผู้เห็นอมตบทเพียงวันเดียว ยังประเสริฐกว่า
จบพระคาถา นางก็บรรลุอรหัต เป็นผู้เคร่งครัดยิ่งในการใช้สอยบริขาร ห่มจีวรประกอบด้วยความปอน ๓ อย่างเที่ยวไป