Main navigation

พรหมชาลสูตร ตอนที่ ๒

ว่าด้วย
ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ ๑๘
เหตุการณ์
ทรงกล่าวถึงทิฏฐิ ๑๘ ประการ ที่เกิดจากการปรารภขันธ์ส่วนอดีต (มาจากไหน)

ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ ๑๘

ธรรมที่ละเอียด ประณีต ที่ทรงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง คือ 

ทิฏฐิเพราะการปรารภขันธ์ส่วนอดีต

มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ ๑๘ ประการ

สัสสตทิฏฐิ ๔ - อัตตาและโลกเที่ยง

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษ ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ คือ ระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง ...หลายแสนชาติบ้าง พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ จึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ส่วนเหล่าสัตว์ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ คงมีอยู่แท้

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษ ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ คือ ระลึกชาติได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ จึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ส่วนเหล่าสัตว์ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ คงมีอยู่แท้

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษ ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ คือ ระลึกชาติได้สิบสังวัฏฏวิวัฏฏกัปบ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้าง พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ จึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ส่วนเหล่าสัตว์ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ คงมีอยู่แท้

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ส่วนเหล่าสัตว์ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ คงมีอยู่แท้

สมณพราหมณ์เหล่าใดที่มีทิฏฐิว่าเที่ยง จะบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๔ ประการนี้เท่านั้น อย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากนี้ไม่มี

เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ ๔ - บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

มีสมัยบางครั้งบางคราว โลกนี้พินาศ เมื่อโลกพินาศอยู่ เหล่าสัตว์เกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลช้านาน

โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน โลกนี้กลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหมปรากฏว่าว่างเปล่า ครั้งนั้น สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า แม้สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น สิ้นกาลช้านาน เพราะสัตว์ผู้นั้นอยู่ในวิมานนั้นแต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความกระสันความดิ้นรนขึ้นว่า แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง

ต่อมาสัตว์เหล่าอื่นก็จุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหม เป็นสหายของสัตว์ผู้นั้น แม้สัตว์พวกนั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกาย ตนเองสัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลช้านาน

บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า

เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น สัตว์เหล่านี้เรานิรมิต เพราะเหตุว่าเราได้มีความคิดอย่างนี้ก่อนว่า แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ความตั้งใจของเราเป็นเช่นนี้ และสัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว

พวกสัตว์ที่เกิดภายหลัง ก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า

ท่านผู้เจริญนี้เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ...เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พวกเราอันพระพรหมผู้เจริญนี้ นิรมิตแล้ว เพราะเหตุว่าพวกเราได้เห็นพระพรหมผู้เจริญนี้เกิดในที่นี้ก่อน ส่วนพวกตนเกิดภายหลัง

บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นมีอายุยืนกว่า มีผิวพรรณกว่า มีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้ที่เกิดภายหลังมีอายุน้อยกว่า มีผิวพรรณทรามกว่า มีศักดิ์น้อยกว่า

สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นมนุษย์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส บรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า

ท่านผู้ใดเป็นพรหม เป็นมหาพรหม ...เป็นบิดาของหมู่สัตวผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พระพรหมผู้เจริญใดที่นิรมิตพวกเรา พระพรหมผู้เจริญนั้นเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่ เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว

ส่วนพวกเราที่พระพรหมผู้เจริญนั้นนิรมิตแล้วนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ เช่นนี้

นี้เป็นฐานะที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

พวกเทวดาชื่อว่าขิฑฑาปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา สติก็หลงลืม เพราะสติหลงลืม จึงพากันจุติจากชั้นนั้น

ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นมนุษย์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความไม่ประมาท แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า

พวกเทวดาผู้มิใช่เหล่าขิฑฑาปโทสิกะย่อมไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ เมื่อไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ สติย่อมไม่หลงลืม เพราะสติไม่หลงลืม พวกสัตว์เหล่านั้นจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว

ส่วนพวกเราเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ หมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ เมื่อพวกเรานั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ สติย่อมหลงลืม เพราะสติหลงลืม พวกเราจึงพากันจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ เช่นนี้

นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

พวกเทวดาชื่อว่ามโนปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นมักเพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันเกินควร ย่อมคิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกัน จึงลำบากกาย ลำบากใจ พากันจุติจากชั้นนั้น

ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นมนุษย์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า

พวกเทวดาผู้มิใช่เหล่ามโนปโทสิกะย่อมไม่มัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อไม่มัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร ก็ไม่คิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างไม่คิดมุ่งร้ายกันและกันแล้ว ก็ไม่ลำบากกาย ไม่ลำบากใจ พวกนั้นจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว

ส่วนพวกเราได้เป็นพวกมโนปโทสิกะมัวเพ่งโทษกันและกัน คิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกัน ก็พากันลำบากกาย ลำบากใจ จึงพากันจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ เช่นนี้

นี้เป็นฐานะที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้ อย่างนี้ว่า

สิ่งที่เรียกว่าจักษุก็ดี โสตะก็ดี ฆานะก็ดี ชิวหาก็ดี กายก็ดี นี้ได้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอันแปรผันเป็นธรรมดา ส่วนสิ่งที่เรียกว่า จิต หรือใจ หรือวิญญาณ นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของเที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว

นี้เป็นฐานะที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง จะบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๔ ประการนี้เท่านั้น นอกจากนี้ไม่มี

อันตานันติกทิฏฐิ ๔ - โลกมีที่สุด โลกหาที่สุดมิได้

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ บรรลุเจโตสมาธิ จึงมีความสำคัญในโลกว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษ จึงรู้อาการว่าโลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ

นี้เป็นฐานะที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกหาที่สุดมิได้

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ บรรลุเจโตสมาธิ จึงมีความสำคัญในโลกว่าไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ ด้วยการบรรลุคุณวิเศษ จึงรู้อาการที่โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ สมณพราหมณ์พวกที่พูดว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบนั้นเท็จ 

นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด โลกหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกหาที่สุดมิได้

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ บรรลุเจโตสมาธิ จึงมีความสำคัญในโลกว่า ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางหาที่สุดมิได้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษ จึงรู้อาการที่โลกนี้ทั้งมีที่สุด (ด้านบนด้านล่าง) ทั้งไม่มีที่สุด (ด้านขวาง)

นี้เป็นฐานะที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด โลกหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกหาที่สุดมิได้

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิภาณของตน ตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า

โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ พวกที่กล่าวว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบนั้นเท็จ พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ นั้นก็เท็จ พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุด ทั้งไม่มีที่สุด นั้นก็เท็จ 

นี้เป็นฐานะที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด โลกหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกหาที่สุดมิได้

สมณะหรือพราหมณ์พวกใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ จะบัญญัติว่า โลกมีที่สุด โลกหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๔ ประการนี้เท่านั้น นอกจากนี้ไม่มี

อมราวิกเขปิกทิฏฐิ ๔ - มีทิฏฐิดิ้นได้ ไม่ตายตัว

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า

ก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล คำพยากรณ์นั้นของเราจะพึงเป็นคำเท็จ คำเท็จนั้นจะเป็นความเดือดร้อนแก่เรา เป็นอันตรายแก่เรา

เพราะฉะนั้น จึงไม่กล้าพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวการกล่าวเท็จ เพราะเกลียดการกล่าวเท็จ

เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้น ๆ จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

นี้เป็นฐานะที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า

ก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล ความพอใจ ความติดใจ หรือความเคืองใจ ความขัดใจในข้อนั้นพึงมีแก่เรา ความพอใจ ความติดใจ หรือความเคืองใจ ความขัดใจนั้นจะพึงเป็นอุปาทานของเรา อุปาทานของเรานั้น จะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เรา จะพึงเป็นอันตรายแก่เรา

เพราะฉะนั้น จึงไม่กล้าพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่อุปาทาน เพราะเกลียดอุปาทาน 

เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า

ถ้าเราจะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด ชำนาญการโต้วาทะมีอยู่ เขาจะพึงซักไซ้ไล่เลียง สอบสวนเราในข้อนั้น เราไม่อาจโต้ตอบเขาได้ การที่โต้ตอบเขาไม่ได้ จะเป็นความเดือดร้อนแก่เรา จะพึงเป็นอันตรายแก่เรา

เพราะฉะนั้น จึงไม่กล้าพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่การซักถาม เพราะเกลียดแต่การซักถาม

เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

นี้เป็นฐานะที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นคนเขลา งมงาย เพราะเขลา เพราะงมงาย เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ เขาจึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า

ถ้าท่านถามเราอย่างนี้ว่า
โลกหน้ามีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่าโลกหน้ามี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า โลกหน้ามี... 
โลกหน้าไม่มีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่าไม่มี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่าไม่มี...
โลกหน้ามีด้วย ไม่มีด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีด้วย ไม่มีด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีด้วย ไม่มีด้วย...
โลกหน้า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า โลกหน้ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ เราพึงพยากรณ์ว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่...
สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามี...
สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่าไม่มี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่าไม่มี...
สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น มีด้วย ไม่มีด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีด้วย ไม่มีด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีด้วย ไม่มีด้วย...
สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่...
ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามี...
ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่าไม่มี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่าไม่มี...
ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีด้วย ไม่มีด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีด้วย ไม่มีด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีด้วย ไม่มีด้วย...
ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่...
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายมีอยู่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีอยู่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีอยู่...
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย ไม่มีอยู่หรือ ถ้าเรามีความ เห็นว่าไม่มีอยู่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่าไม่มีอยู่...
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายมีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย...
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความ เห็นว่ามีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ 

...แต่ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ 

นี้เป็นฐานะที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว

สมณะหรือพราหมณ์พวกใดมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ ๔ ประการนี้เท่านั้น นอกจากนี้ไม่มี

อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ ๒ - อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ

พวกเทวดาชื่อว่าอสัญญีสัตว์มีอยู่ ก็เทวดาเหล่านั้น ย่อมจุติจากชั้นนั้นเพราะความเกิดขึ้นแห่งสัญญา  

ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นมนุษย์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ ย่อมตามระลึกถึงความเกิดขึ้นแห่งสัญญาได้ เบื้องหน้าแต่นั้นไประลึกมิได้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า

อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ เพราะข้าพเจ้าเมื่อก่อนไม่ได้มีแล้ว เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้านั้นมี เพราะมิได้น้อมไปเพื่อความเป็นผู้สงบ

นี้เป็นฐานะที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว มีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ 

สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด เขากล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ

นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว มีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ

ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๒ ประการนี้เท่านั้น นอกจากนี้ไม่มี

สมณพราหมณ์เหล่านั้นกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุทั้ง ๑๘ ประการนี้






อ่าน พรหมชาลสูตร
 

อ้างอิง
พรหมชาลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๙ ข้อที่ ๒๖-๔๔ หน้า ๑๑-๒๘
ลำดับที่
3

Keywords

ทิฏฐิ

สถานการณ์

การปฏิบัติธรรม

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ

พระธรรม

ธรรมปฏิบัติ

พระธรรม

วิเวก

พระธรรม

ธรรมวิภังค์

พระธรรม

เวทัลลธรรม

พระธรรม

อานุภาพกรรม

พระธรรม

สุคติ สุคโต

พระธรรม

ฆราวาสธรรม