สฬายตนวิภังคสูตร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
พวกเธอพึงทราบอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ หมวดวิญญาณ ๖ หมวดผัสสะ ๖ ความนึกหน่วงของใจ ๑๘ ทางดำเนินของสัตว์ ๓๖
ใน ๓๖ นั้น พวกเธอจงอาศัยทางดำเนินของสัตว์นี้ ละทางดำเนินของสัตว์นี้
และพึงทราบการตั้งสติ ๓ ประการ ที่พระอริยะเสพ ซึ่งเมื่อเสพ ชื่อว่าเป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอนหมู่ อันเราเรียกว่าสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ยอดเยี่ยมกว่าอาจารย์ผู้ฝึกทั้งหลาย
อายตนะภายใน ๖ คือ
จักษุ โสต ฆานะ ชิวหา กาย และมโน
อายตนะภายนอก ๖ คือ
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์
หมวดวิญญาณ ๖ คือ
จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ
หมวดผัสสะ ๖ คือ
จักษุสัมผัส โสตสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส และมโนสัมผัส
ความนึกหน่วงของใจ ๑๘ คือ
ความนึกหน่วงในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส โทมนัส และอุเบกขา
ทางดำเนินของสัตว์ ๓๖ คือ
โสมนัสอาศัยเรือน ๖ อาศัยเนกขัมมะ ๖
โทมนัสอาศัยเรือน ๖ อาศัยเนกขัมมะ ๖
อุเบกขาอาศัยเรือน ๖ อาศัยเนกขัมมะ ๖
โสมนัสอาศัยเรือน
บุคคลเมื่อเล็งเห็นการได้เฉพาะซึ่งรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ เสียงที่รู้ได้ด้วยโสต กลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ รสที่รู้ได้ด้วยชิวหา โผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย ธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ ประกอบด้วยโลกามิส โดยเป็นของอันตนได้เฉพาะ หรือหวนระลึกถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่เคยได้เฉพาะในก่อนอันล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น โสมนัสเช่นนี้ นี่เราเรียกว่า โสมนัสอาศัยเรือน
โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหลายนั่นแล แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ในก่อนและในบัดนี้ทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น โสมนัสเช่นนี้ นี่เราเรียกว่า โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ
โทมนัสอาศัยเรือน
บุคคลเมื่อเล็งเห็นความไม่ได้เฉพาะซึ่งรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ เสียงที่รู้ได้ด้วยโสต กลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ รสที่รู้ได้ด้วยชิวหา โผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย ธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ ประกอบด้วยโลกามิส โดยเป็นของอันตนไม่ได้เฉพาะ หรือหวนระลึกถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่ไม่เคยได้เฉพาะในก่อนอันล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ย่อมเกิดโทมนัส โทมนัสเช่นนี้ นี่เราเรียกว่า โทมนัสอาศัยเรือน
โทมนัสอาศัยเนกขัมมะ
บุคคลทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหลายนั่นแล แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ในก่อนและในบัดนี้ ทั้งหมดนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แล้วย่อมเข้าไปตั้งความปรารถนาในอนุตตรวิโมกข์ เมื่อเข้าไปตั้งความปรารถนาในอนุตตรวิโมกข์ดังนี้ว่า เมื่อไรตัวเราจึงจักบรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลายได้บรรลุอยู่ในบัดนี้เล่า ย่อมเกิดโทมนัสเพราะความปรารถนาเป็นปัจจัยขึ้น โทมนัสเช่นนี้ นี่เราเรียกว่า โทมนัสอาศัยเนกขัมมะ
อุเบกขาอาศัยเรือน
เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ ฟังเสียงด้วยโสต ดมกลิ่นด้วยฆานะ ลิ้มรสด้วยชิวหา ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน ย่อมเกิดอุเบกขาขึ้นแก่ปุถุชนคนโง่เขลา ยังไม่ชนะกิเลส ยังไม่ชนะวิบาก ไม่เห็นโทษ ไม่ได้สดับ เป็นคนหนาแน่น อุเบกขาเช่นนี้นั้น ไม่ล่วงเลยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไปได้ เพราะฉะนั้น เราจึงเรียกว่าอุเบกขาอาศัยเรือน
อุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหลายนั่นแล แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ในก่อนและในบัดนี้ ทั้งหมดนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ย่อมเกิดอุเบกขาขึ้น อุเบกขาเช่นนี้นั้น ไม่ล่วงเลยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไปได้ เพราะฉะนั้น เราจึงเรียกว่าอุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ
ในทางดำเนินของสัตว์ ๓๖ นั้น
พวกเธอจงอาศัย คือ อิงโสมนัส อันอาศัยเนกขัมมะ ๖
แล้วละ คือ ล่วงเสียซึ่งโสมนัสอันอาศัยเรือน ๖
อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละโสมนัสอาศัยเรือนได้ เป็นอันล่วงโสมนัสอาศัยเรือนได้
พวกเธอจงอาศัย คือ อิงโทมนัสอันอาศัยเนกขัมมะ ๖
แล้วละ คือ ล่วงเสียซึ่งโทมนัสอันอาศัยเรือน ๖
อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละโทมนัสอาศัยเรือนได้ เป็นอันล่วงโทมนัสอาศัยเรือนได้
พวกเธอจงอาศัย คือ อิงอุเบกขาอันอาศัยเนกขัมมะ ๖
แล้วละ คือ ล่วงเสียซึ่งอุเบกขาอันอาศัยเรือน ๖
อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละโทมนัสอาศัยเรือนได้ เป็นอันล่วงโทมนัสอาศัยเรือนได้
พวกเธอจงอาศัย คือ อิงโสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ แล้วละ คือ ล่วงเสียซึ่งโทมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖
อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละโทมนัสนั้นๆ ได้ เป็นอันล่วงโทมนัสนั้น ๆ ได้
พวกเธอจงอาศัย คือ อิงอุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ ๖ นั้น ๆ แล้วละ คือ ล่วงเสียซึ่งโสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖
อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละโสมนัสนั้นๆ ได้ เป็นอันล่วงโสมนัสนั้น ๆ ได้ ฯ
อุเบกขาที่มีความเป็นต่าง ๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆก็มี อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งก็มี คือ
อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆ คือ
อุเบกขาที่มีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ นี้อุเบกขาที่มีความเป็นต่าง ๆ อาศัยอารมณ์ต่าง ๆ
อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ
อุเบกขาที่อาศัยอากาสานัญจายตนะ อาศัยวิญญาณัญจายตนะ อาศัยอากิญจัญญายตนะ อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะ นี้อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่ง
ในอุเบกขา ๒ อย่าง พวกเธอจงอาศัย คือ อิงอุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งนั้น แล้วละ คือ ล่วงเสียซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่าง ๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆนั้น อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละอุเบกขาที่มีความเป็นต่าง ๆ อาศัยรมณ์ต่าง ๆ ได้ เป็นอันล่วงอุเบกขานี้ได้
พวกเธอจงอาศัย คือ อิงความเป็นผู้ไม่มีตัณหา แล้วละ คือล่วงเสียซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งนั้น อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละอุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งได้ เป็นอันล่วงอุเบกขานี้ได้
การตั้งสติ ๓ ประการที่พระอริยะเสพ ซึ่งเมื่อเสพ ชื่อว่าเป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอนหมู่ คือ เป็นผู้อนุเคราะห์ แสวงประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดู แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ
การตั้งสติประการที่ ๑
ศาสดาอาศัยความเอ็นดูแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ เหล่าสาวกของศาสดานั้นไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้ และประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา ในข้อนั้น ตถาคตไม่เป็นผู้ชื่นชม ไม่เสวยความชื่นชม และไม่ระคายเคือง ย่อมมีสติสัมปชัญญะอยู่ นี้เรียกว่า การตั้งสติประการที่ ๑
การตั้งสติประการที่ ๒
ประการอื่น คือ ศาสดาอาศัยความเอ็นดูแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ เหล่าสาวกของศาสดานั้น บางพวกย่อมไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้ และประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา บางพวกย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตรับรู้ ไม่ประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา ในข้อนั้น ตถาคตไม่เป็นผู้ชื่นชม ไม่เสวยความชื่นชม ทั้งไม่เป็นผู้ไม่ชื่นชม ไม่เสวยความไม่ชื่นชม เว้นทั้งความชื่นชมและความไม่ชื่นชมทั้งสองอย่างนั้นแล้ว เป็นผู้วางเฉย ย่อมมีสติสัมปชัญญะอยู่ นี้เรียกว่า การตั้งสติประการที่ ๒
การตั้งสติประการที่ ๓
ประการอื่น คือ ศาสดาเป็นผู้อนุเคราะห์ แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ เหล่าสาวกของศาสดานั้นย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตรับรู้ ไม่ประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา ในข้อนั้น ตถาคตเป็นผู้ชื่นชม เสวยความชื่นชม และไม่ระคายเคือง ย่อมมีสติสัมปชัญญะอยู่ นี้เรียกว่า การตั้งสติประการที่ ๓
สารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ยอดเยี่ยมกว่าอาจารย์ผู้ฝึกทั้งหลาย คือ
บุรุษที่ควรฝึก อันตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธสอนให้วิ่ง ย่อมวิ่งไปได้ทั่วทั้ง ๘ ทิศ คือ
ผู้ที่มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลายได้ นี้ทิศที่ ๑
ผู้ที่มีสัญญาในอรูปภายใน ย่อมเห็นรูปทั้งหลายภายนอกได้ นี้ทิศที่ ๒
ย่อมเป็นผู้น้อมใจว่างามทั้งนั้น นี้ทิศที่ ๓
ย่อมเข้าอากาสานัญจายตนะอยู่ ด้วยใส่ใจว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่ใส่ใจนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๔
ย่อมเข้าวิญญาณัญจายตนะอยู่ ด้วยใส่ใจว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๕
ย่อมเข้าอากิญจัญญายตนะอยู่ ด้วยใส่ใจว่า ไม่มีสักน้อยหนึ่ง เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๖
ย่อมเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะอยู่ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๗
ย่อมเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๘
อ่าน สฬายตนวิภังค์สูตร