อัตตทีปสูตร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
เมื่อมีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่ จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร
ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย
ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม
ย่อมตามเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตนมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ย่อมเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในตน
ย่อมเห็นตนในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรไปและเป็นอื่นไป
ก็เมื่อภิกษุรู้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง แปรปรวนไป คลายไป ดับไป เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในกาลก่อน และรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ดังนี้ ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้
เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข ทรงกล่าวว่า ผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น
อ่าน อัตตทีปสูตร