สจิตตสูตร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่าหาก ภิกษุไม่เป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของผู้อื่น พึงศึกษาให้เป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน
ภิกษุย่อมเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตนอย่างไร
เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษที่เป็นหนุ่มสาว มีปรกติชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตนในคันฉ่องหรือในภาชนะน้ำอันใส ถ้าเห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็พยายามขจัดธุลีหรือจุดดำนั้นเสีย หากว่าไม่เห็น ก็ย่อมดีใจด้วยเหตุนั้นว่า เป็นลาภของตนแล้ว หน้าของตนบริสุทธิ์แล้ว
การที่ภิกษุพิจารณาว่า ตนเป็นผู้มีอภิชฌา มีจิตพยาบาท ถีนมิทธะกลุ้มรุม ฟุ้งซ่าน มีความสงสัย มีความโกรธ มีจิตเศร้าหมอง มีกายอันปรารภแรงกล้า เกียจคร้าน มีจิตไม่ตั้งมั่น อยู่โดยมากหรือไม่ ย่อมเป็นอุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลาย
ถ้าเมื่อพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า ตนเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่ มีจิตพยาบาท ถีนมิทธะกลุ้มรุม ผู้ฟุ้งซ่านอยู่ มีความสงสัย มีความโกรธ มีจิตเศร้าหมอง มีกายอันปรารภแรงกล้า เกียจคร้าน มีจิตไม่ตั้งมั่น อยู่โดยมาก ภิกษุนั้นควรทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น
ถ้าเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ตนเป็นผู้ไม่มีอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท ปราศจากถีนมิทธะ ไม่ฟุ้งซ่าน ข้ามพ้นความสงสัย ไม่โกรธ ไม่เศร้าหมอง มีกายอันมิได้ปรารภแรงกล้า ปรารภความเพียร มีจิตตั้งมั่น อยู่โดยมาก ภิกษุนั้นควรตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้น แล้วพึงทำความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายให้ยิ่งขึ้นไป
อ่าน สจิตตสูตร