โจทนาสูตร
พระสารีบุตรกล่าวว่าภิกษุผู้โจทก์ทั้งหลายพึงตั้งธรรม ๕ ประการ คือ
โจทก์โดยกาลควร หรือโดยกาลไม่ควร ๑
ด้วยเรื่องจริง หรือด้วยเรื่องไม่จริง ๑
ด้วยคำอ่อนหวาน หรือด้วยคำหยาบ ๑
ด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ หรือด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
ด้วยเมตตาจิตหรือด้วยเพ่งโทษ ๑
หากภิกษุถูกโจทก์โดยไม่เป็นธรรมด้วยอาการ ๕ คือ โดยกาลไม่ควร ด้วยเรื่องไม่จริง ด้วยคำหยาบ ด้วยเรื่องที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ด้วยการเพ่งโทษ ไม่ถูกโจทด้วยเมตตาจิต ภิกษุผู้ถูกโจทก์โดยไม่เป็นธรรมไม่ควรเดือดร้อน ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรมควรเดือดร้อน
หากภิกษุถูกโจทก์โดยเป็นธรรมด้วยอาการ ๕ คือ โดยกาลควร ด้วยเรื่องจริง ด้วยคำอ่อนหวาน ด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ ด้วยเมตตาจิต ภิกษุผู้ถูกโจทก์โดยเป็นธรรมจึงควรเดือดร้อน ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรมไม่ควรเดือดร้อน
บุคคลผู้ถูกโจทก์พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ความจริงและความไม่โกรธ และพึงทราบว่าธรรม ๕ ประการ ที่ถูกโจทก์มีอยู่ในตนหรือไม่ หากมีธรรมนั้นอยู่ในตน ก็ตอบว่ามี หากไม่มีธรรมนั้นอยู่ในตน ก็ตอบว่าไม่มี
พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระสารีบุตรว่า เป็นเช่นนั้น แต่ว่าโมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้ (ผู้ไม่มีศรัทธา) เมื่อถูกกล่าวสอน ย่อมไม่รับโดยเคารพ จงยกไว้ (ยกเว้น) ไม่กล่าวสอน แต่จงกล่าวสอนกุลบุตรผู้มีศรัทธาออกบวช มีปัญญา มิใช่คล้ายคนบ้าน้ำลาย เพื่อยกเพื่อนพรหมจรรย์จากอสัทธรรม ให้ตั้งอยู่ในสัทธรรม
อ่าน โจทนาสูตร