จูฬตัณหาสังขยสูตร
ท้าวสักกะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนมีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น
ถ้าข้อนี้ ภิกษุได้สดับแล้วอย่างนี้ ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง
ครั้นรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวง
ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง
ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดีมิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละคืนในเวทนาทั้งหลายนั้น
เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งอะไร ๆ ในโลก
เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น
เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว
และทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ได้มีความดำริว่า ท้าวสักกะนั้นทราบความพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงยินดี หรือว่าไม่ทราบก็ยินดี จึงได้หายไปจากวิหารบุพพาราม ปรากฏในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประหนึ่งว่าบุรุษที่กำลังเหยียดแขนทึ่งออกไปหรืองอแขนที่เหยียดเข้ามา
สมัยนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ กำลังอิ่มเอิบ พร้อมพรั่งบำเรออยู่ ด้วยทิพยดนตรีห้าร้อยในสวนดอกบุณฑริกล้วน ได้เห็นท่านพระมหาโมคคัลลาน์มาแต่ที่ไกล จึงให้หยุดเสียงทิพยดนตรีห้าร้อยไว้ แล้วนิมนต์พระโมคคัลลานะนั่ง
ท้าวสักกะจอมเทพก็ถืออาสนะต่ำแห่งหนึ่ง นั่งอยู่
ท่านพระโมคคัลลานะได้ถามท้าวสักกะว่าพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถึงความน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหาโดยย่อแก่ท้าวสักกะอย่างไร ท่านจักขอมีส่วนฟังกถานั้น
ท้าวสักกะตรัสว่า ตนมีกิจมาก มีธุระที่จะต้องทำมาก ทั้งธุระส่วนตัว ทั้งธุระของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ พระภาษิตใดที่ตนฟังแล้วลืมเสียเร็วพลัน พระภาษิตนั้น พระโมคคัลลานะฟังดี เรียนดี ทำไว้ในใจดี ทรงไว้ดีแล้ว
แล้วกล่าวต่อไปว่า ในสงครามระหว่างเทวดาและอสูรนั้น พวกเทวดาชนะ พวกอสูรแพ้ เมื่อชนะและกลับจากสงครามนั้นแล้ว ให้สร้างเวชยันตปราสาทมีร้อยชั้น ในชั้นหนึ่ง ๆ มีกูฏาคารเจ็ดร้อย ๆ ในกูฏาคารแห่งหนึ่ง ๆ มีนางอัปสรเจ็ดร้อย ๆ นางอัปสรผู้หนึ่ง ๆ มีเทพธิดาผู้บำเรอเจ็ดร้อย ๆ แล้วถามพระโมคคัลลานะว่าต้องการจะชมเวชยันตปราสาทหรือไม่
ท่านพระมหาโมคคัลลาน์รับด้วยดุษณีภาพ
พวกเทพธิดาผู้บำเรอของท้าวสักกะ เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะมาแต่ที่ไกล เกรงกลัวละอายอยู่ ก็เข้าสู่ห้องเล็กของตน ๆ
ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวเวสวัณมหาราช เมื่อให้ท่านพระมหาโมคคัลลาน์เที่ยวเดินไปในเวชยันตปราสาท ได้ตรัสว่า ขอท่านพระมหาโคัลลานะจงดูสถานที่น่ารื่นรมย์แห่งเวชยันตปราสาทนี้
ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า สถานที่น่ารื่นรมย์ของท่านท้าวสักกะย่อมงดงาม เหมือนสถานที่ของผู้ที่ได้ทำบุญไว้ในปางก่อน แม้มนุษย์ทั้งหลายเห็นสถานที่น่ารื่นรมย์ไหน ๆ เข้าแล้ว กล่าวกันว่า งามจริง ดุจสถานที่น่ารื่นรมย์ของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์
ในขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้มีความดำริว่า ท้าวสักกะเป็นผู้ประมาทอยู่มาก ท่านพึงให้ท้าวสักกะนี้สังเวช จึงบันดาลอิทธาภิสังขาร เอาหัวแม่เท้ากดเวชยันตปราสาทเขย่าให้สั่น สะท้าน หวั่นไหว
ท้าวสักกะจอมเทพ ท้าวเวสวัณมหาราช และพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีความประหลาดมหัศจรรย์จิต กล่าวว่า นี่เป็นความประหลาดอัศจรรย์ พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มาก อานุภาพมาก เอาหัวแม่เท้ากดทิพยพิภพ เขย่าให้สั่น สะท้าน หวั่นไหวได้
ท่านพระมหาโมคคัลลานะทราบว่า ท้าวสักกะจอมเทพมีความสลด จิตขนลุกแล้ว จึงถามว่าพระผู้มีพระภาคได้ตรัสความน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้น
แห่งตัณหาโดยย่นย่ออย่างไร ท่านจักขอมีส่วนเพื่อฟังกถานั้น
ท้าวสักกะจึงตรัสเล่าเรื่องราวและข้อปฏิบัติโดยย่อเพื่อความน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแก่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ท่านพระมหาโมคคัลลานะชื่นชมยินดีภาษิตของท้าวสักกะ แล้วได้หายจากหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ มาปรากฏที่ปราสาทของมิคารมารดา ในวิหารบุพพาราม ประหนึ่งบุรุษที่กำลังเหยียดแขนที่งอออกไป หรืองอแขนที่เหยียดเข้ามา
เมื่อท่านพระมหาโมคคัลลาน์หลีกไปแล้วไม่นาน พวกเทพธิดาผู้บำเรอของท้าวสักกะจอมเทพได้ทูลถามท้าวสักกะว่า พระมหาโมคคัลลานะเป็นพระศาสดาของท้าวสักกะหรือ
เมื่อท้าวสักกะตรัสบอกว่าท่านพระมหาโมคคัลลาน์ไม่ใช่พระผู้มีพระภาค เป็นผู้เป็นสพรหมจารีของท่าน พวกเทพธิดาทูลว่า เป็นลาภของท้าวสักกะ ท่านได้ดีแล้วที่ได้พระสมณะผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากอย่างนี้เป็นสพรหมจารีของพระองค์ พระผู้มีพระภาค ผู้ศาสดา คงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเป็นอัศจรรย์เป็นแน่
ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วได้ทูลถามว่า พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบว่าทรงตรัสความน้อมไปในธรรม เป็นที่สิ้นแห่งตัณหาโดยย่อแก่เทพผู้มีศักดิ์มากผู้ใดผู้หนึ่งบ้างหรือหนอ?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จำได้อยู่ว่าทรงเป็นผู้กล่าวความน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหาโดยย่อแก่ท้าวสักกะจอมเทพ
อ่าน จูฬตัณหาสังขยสูตร