จูฬวัจฉโคตตสูตร
วัจฉโคตตปริพาชกกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ตนเคยได้ยินมาว่าพระสมณโคดมเป็นสัพพัญญู มีปกติเห็นธรรมทั้งปวง ทรงปฏิญญาญาณทัศนะไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเดินไป หยุดอยู่ หลับหรือตื่นก็ดี ญาณทัศนะปรากฏแล้วเสมอติดต่อกันไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ชนที่กล่าวดังนี้ ไม่เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว และชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำที่ไม่มี ไม่เป็นจริง
เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ (มีวิชชา ๓) จึงจะเป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง ชื่อว่าพยากรณ์ถูกสมควรแก่ธรรม จะถึงฐานะที่ผู้รู้พึงติเตียนเลย
วิชชา ๓
เมื่อทรงต้องการ ย่อมจะระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติ จนถึงตลอดสังวัฏวิวัฏกัปว่า ในภพต่างๆที่ไปเกิด พระองค์มีชื่อ มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณ มีอาหาร เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
เมื่อทรงต้องการ ย่อมจะเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดีหรือทราม ได้ดีหรือตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไปได้เข้าถึง สุคติ โลก สวรรค์
พระองค์ทรงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่
การทำที่สุดแห่งทุกข์และการไปสวรรค์ของคฤหัสถ์
คฤหัสถ์ที่ยังละสังโยชน์ของคฤหัสถ์ไม่ได้แล้ว เมื่อตายไป จะทำที่สุดทุกข์ได้นั้น ไม่มีเลย
แต่ที่ได้ไปสวรรค์นั้นไม่ใช่หนึ่งร้อย สองร้อย หรือห้าร้อยเท่านั้น ที่แท้มีอยู่มากทีเดียว
ลัทธิเดียรถีย์ไปสวรรค์ไม่ได้
อาชีวกบางคนเมื่อตายไป จะทำที่สุดทุกข์ได้นั้น ไม่มีเลย และตั้งแต่ภัทรกัปนี้ไปได้เก้าสิบเอ็ดกัปที่พระองค์ระลึกได้ พระองค์ไม่ทรงรู้จักอาชีวกบางคนที่ไปสวรรค์ได้ นอกจากอาชีวกคนเดียวที่เป็นกรรมวาที กิริยาวาที
ลัทธิของเดียรถีย์นี้เป็นอันสูญโดยที่สุดแม้จากคุณเครื่องไปสู่สวรรค์
อ่าน จูฬวัจฉโคตตสูตร