กิมิลสูตร
พระผู้มีพระภาคตรัสสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
สมัยใดภิกษุเมื่อ
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว
หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น
หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
สมัยนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ เพราะกายอันหนึ่งในบรรดากายทั้งหลายได้แก่ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า
สมัยใด ภิกษุย่อมสำเหนียกว่า
เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า
เราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า
เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า
เราจักระงับจิตสังขาร หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า
สมัยนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ เพราะเวทนาอันหนึ่งในบรรดาเวทนาทั้งหลายได้แก่ การกระทำไว้ในใจให้ดีซึ่งลมหายใจออก และลมหายใจเข้า
สมัยใด ภิกษุย่อมสำเหนียกว่า
เราจักกำหนดรู้จิต หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักกำหนดรู้จิต หายใจเข้า
เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจเข้า
เราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า
เราจักเปลื้องจิต หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า
สมัยนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ เพราะทรงไม่กล่าวซึ่งการเจริญสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ สำหรับผู้มีสติหลง ไม่มีสัมปชัญญะ
สมัยใด ภิกษุย่อมสำเหนียกว่า
เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจเข้า
เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจเข้า
เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจเข้า
เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืน หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืน หายใจเข้า
สมัยนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสนั้นด้วยปัญญา จึงวางเฉยเสียได้เป็นอย่างดี
สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
อ่าน กิมิลสูตร