Main navigation

สัจจวิภังคสูตร

ว่าด้วย
การจำแนกอริยสัจ
เหตุการณ์
พระสารีบุตรจำแนกอริยสัจ ๔ โดยพิสดาร

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ทรงประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใคร ๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ

คือ บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ อริยสัจ คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทัยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

แล้วตรัสต่อไปว่า ให้ภิกษุจงเสพ จงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะ ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิตภิกษุ ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์

สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว

สารีบุตรย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะย่อมแนะนำในผลชั้นสูง

สารีบุตรพอที่จะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ ได้โดยพิสดาร

พระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า แล้วกล่าวว่า

ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน คือ

ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสเป็นทุกข์ ความไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นทุกข์ โดยประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

ก็ ชาติ เป็นไฉน ได้แก่

ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้เฉพาะซึ่งอายตนะในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ๆ

ก็ ชรา เป็นไฉน ได้แก่

ความแก่ ความคร่ำคร่า ความเป็นผู้มีฟันหัก มีผมหงอก มีหนังย่น ความเสื่อมอายุ ความหง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ๆ

ก็ มรณะ เป็นไฉน ได้แก่

ความจุติ ความเคลื่อนไป ความแตก ความอันตรธาน ความตาย ความมรณะ การทำกาละ ความสลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่าง ความขาดชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ๆ

ก็ โสกะ เป็นไฉน ได้แก่

ความโศก ความเศร้า ความเหี่ยวแห้งใจ ความเหี่ยวแห้งภายใน ความเหี่ยวแห้งรอบในภายใน ของบุคคลผู้ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว

ก็ ปริเทวะ เป็นไฉน ได้แก่

ความรำพัน ความร่ำไร กิริยารำพัน กิริยาร่ำไร ลักษณะที่รำพัน ลักษณะที่ร่ำไรของบุคคล ที่ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว

ก็ ทุกข์ เป็นไฉน ได้แก่

ความลำบากกาย ความไม่สบายกาย ความเสวยอารมณ์ที่ลำบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัส ทางกาย นี้เรียกว่าทุกข์

ก็ โทมนัส เป็นไฉน ได้แก่

ความลำบากใจ ความไม่สบายใจ ความเสวยอารมณ์ที่ลำบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัสทางใจ

ก็ อุปายาส เป็นไฉน ได้แก่

ความคับใจ ความแค้นใจ ลักษณะที่คับใจ ลักษณะที่แค้นใจ ของบุคคลผู้ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว

ก็ ความไม่ได้สมปรารถนา เป็นทุกข์เป็นไฉน ได้แก่

สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาว่า ขอเราอย่าต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่าพึงมาถึงเราเลย ข้อนี้ ใคร ๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย

สัตว์ทั้งหลายผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ขอเราอย่าต้องมีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส และโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสอย่าพึงมาถึงเราเลย

อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน คือ

อุปาทานขันธ์คือรูป คือเวทนา คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณ เ

ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจเป็นไฉน ได้แก่

ตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความยินดี อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน ได้แก่

ความดับด้วยอำนาจคลายกำหนัดไม่มีส่วนเหลือ ความสละ ความสลัดคืน ความปล่อย ความไม่มีอาลัย ซึ่งตัณหานั้น

ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นไฉน ได้แก่

มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ซึ่งมีดังนี้ (๑) สัมมาทิฐิ (๒) สัมมาสังกัปปะ (๓) สัมมาวาจา (๔) สัมมากัมมันตะ (๕) สัมมาอาชีวะ (๖) สัมมาวายามะ (๗) สัมมาสติ (๘) สัมมาสมาธิ

ก็ สัมมาทิฐิ เป็นไฉน ได้แก่

ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

ก็ สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน ได้แก่

ความดำริในเนกขัมมะ ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน

ก็ สัมมาวาจา เป็นไฉน ได้แก่

เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียดพูดคำหยาบ เจรจาเพ้อเจ้อ

ก็ สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน ได้แก่

เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร

ก็ สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน คือ

อริยสาวกใน ธรรมวินัยนี้ละมิจฉาชีพแล้ว สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยสัมมาชีพ

ก็ สัมมาวายามะ เป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมให้เกิดฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้

เพื่อไม่ให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น ๑
เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้วเสีย ๑
เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้น ๑
เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฝือ เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ และบริบูรณ์ของกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ๑

ก็ สัมมาสติ เป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา... เห็นจิตในจิต... เห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่

ก็ สัมมาสมาธิ เป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่

เข้าทุติยฌาน... เป็นผู้วางเฉย เพราะหน่ายปีติ มีสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย

เข้าตติยฌาน... มีอุเบกขา มีสติมีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป

เข้าจตุตถฌาน... ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่อยู่

 

 

อ่าน สัจจวิภังคสูตร

 

อ้างอิง
สัจจวิภังคสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๖๙๘-๗๐๕
ลำดับที่
5

สถานการณ์

การปฏิบัติธรรม

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ

พระธรรม

ธรรมปฏิบัติ

พระธรรม

วิเวก

พระธรรม

ธรรมวิภังค์

พระธรรม

เวทัลลธรรม

พระธรรม

อานุภาพกรรม

พระธรรม

สุคติ สุคโต

พระธรรม

ฆราวาสธรรม