คาถาสุภาษิตของพระมหาโมคคัลลานเถระ
พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ภาษิตคาถา ๔ คาถาเบื้องต้น ความว่า
ภิกษุผู้ถือการอยู่ป่า อยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร มีความพากเพียรเป็นนิตย์ ยินดีเฉพาะอาหารที่มีอยู่ในบาตรอันเนื่องแต่การแสวงหา มีจิตใจมั่นคงด้วยดี พึงทำลายและกำจัดเสนาแห่งพระยามัจจุราชเสียได้
พระโมคคัลลานะสอนหญิงโสเภณีที่มายั่วยวน
เราติเตียนสรีระร่างอันสำเร็จด้วยโครงกระดูก ฉาบทาด้วยเนื้อ ร้อยรัดด้วยเส้นเอ็น เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด ที่คนทั่ว ๆ ไปเข้าใจว่าเป็นของผู้อื่นและเป็นของตน เช่นกับถุงอันเต็มไปด้วยอุจจาระ
ภิกษุควรละเว้นสรีระของเธออันมีช่องเก้าช่อง เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น ดังชายหนุ่มผู้ชอบสะอาด หลีกเลี่ยงปัสสาวะอุจจาระไปจนห่างไกล หากว่าคนพึงรู้จักสรีระของเธอเช่นเดียวกับฉันรู้จัก ก็จะพากันหลบหลีกเธอไปเสียห่างไกล
เมื่อหญิงโสเภณีคนนั้นได้ฟังดังนี้แล้ว ก็เกิดความสลดใจ จึงตอบพระเถระว่าท่านพูดอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่คนบางจำพวกยังจมอยู่ในร่างกายอันนี้ เหมือนกับโคเฒ่าที่จมอยู่ในตม
พระโมคคัลลานะกล่าวว่า ผู้ใดประสงค์ย้อมอากาศด้วยขมิ้น หรือด้วยน้ำย้อมอย่างอื่น การกระทำของผู้นั้นก็ลำบากเปล่า ๆ จิตของเรานี้ก็เสมอกับอากาศ เป็นจิตตั้งมั่นด้วยดีในภายใน เพราะฉะนั้น เธออย่ามาหวังความรักที่มีอยู่ในดวงจิตของเธอจากฉันเลย เธอจงดูร่างกายอันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นตั้งไว้ มีแผลทั่ว ๆ ไป อันบุญกรรมกระทำให้วิจิตร กระสับกระส่าย ไม่มีความยั่งยืนมั่นคงอยู่เลย
เมื่อพระเถระให้โอวาทอย่างนั้นแล้ว นางเกิดความสังเวช เกิดหิริโอตตัปปะ ได้ศรัทธาในพระศาสนาเป็นอุบาสิกา เวลาต่อมาได้บวชในหมู่ภิกษุณี เพียรพยายามอยู่ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต
พระมหาโมคคัลลานะปรารภการนิพพานของพระสารีบุตรเถระจึงกล่าวคาถา ขึ้น ๔ คาถาความว่า
เมื่อท่านพระสารีบุตรเถระ ผู้เพียบพร้อมไปด้วยอุฏฐานะเป็นอันมาก มีศีลสังวรเป็นต้น นิพพานไปแล้ว ก็เกิดเหตุน่าสะพรึงกลัว ขนพองสยองเกล้า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ชนผู้มีความเพียรเหล่าใดพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของแปรปรวน และโดยไม่ใช่ตัวตน ชนเหล่านั้นชื่อว่าแทงตลอดธรรมอันละเอียด
พระมหาโมคคัลลานะปรารภพระติสสเถระ จึงกล่าวเป็นคาถาหนึ่งคาถาความว่า
ภิกษุผู้มีสติ ควรรีบละเว้นความพอใจรักใคร่ในกามารมณ์ ความกำหนัดในภพเสีย
บุคคลพึงบรรลุนิพพานได้ด้วยความเพียรชอบ ๕ ประการ
อาตมาเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีใครเปรียบ ผู้คงที่ ได้เข้าไปสู่ช่องภูเขา เจริญฌานอยู่ เป็นผู้สงบระงับ ยินดีแต่ในธรรมอันเป็นเครื่องเข้าไปสงบระงับ อยู่แต่ในเสนาสนะอันสงัด เป็นมุนี เป็นทายาทของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เป็นผู้อันท้าวมหาพรหมพร้อมทั้งเทวดากราบไหว้
พระมหาโมคคัลลานะเถระเมื่อจะอนุเคราะห์พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิ หลานชายพระสารีบุตรเถระ ได้กล่าวภาษิตเหล่านี้ว่า
ท่านจงไหว้พระกัสสปะผู้สงบระงับ ผู้ยินดีแต่ในธรรมอันสงบ อยู่ในเสนาสนะอันสงัด เป็นมุนี เป็นทายาทแห่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด การกราบไหว้ผู้เป็นกษัตริย์หรือเป็นพราหมณ์สืบวงศ์ตระกูลมาเป็นลำดับ ๆ ตั้ง ๑๐๐ ชาติ ที่พร้อมด้วยไตรเพท เล่าเรียนมนต์ ถึงฝั่งแห่งเวทนา ๓ ย่อมไม่ถึงเสี้ยว ๑๖ ของบุญที่ไหว้พระกัสสปะเพียงครั้งเดียวเลย
ท่านอย่ารุกรานภิกษุผู้เข้าวิโมกข์ ๘ โดยอนุโลมและปฏิโลม ออกจากสมาบัตินั้นแล้วเที่ยวไปบิณฑบาต จงยังใจให้เลื่อมใสในพระอรหันต์ จงรีบประณมอัญชลีไหว้เถิด ศีรษะของท่านอย่าแตกไปเสียเลย
พระมหาโมคคัลลานะเถระเห็นพระโปฏฐิละปฏิบัติ ได้กล่าวภาษิตเหล่านี้ว่า
พระโปฐิละไม่เห็นพระสัทธรรมเพราะเป็นผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้แล้ว เดินไปสู่ทางผิดซึ่งเป็นทางคดไม่ควรเดิน พระโปฐิละหมกมุ่นอยู่ในสังขาร ติดอยู่ในลาภและสักการะ ดังตัวหนอนที่ติดอยู่ในอุจจาระ จึงเป็นผู้ไม่มีแก่นสาร
พระมหาโมคคัลลานะเถระเมื่อจะสรรเสริญท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวภาษิตเหล่านี้ว่า
พระสารีบุตรผู้เพียบพร้อมไปด้วยคุณที่น่าดูน่าชม ผู้พ้นแล้วจากกิเลสด้วยสมาธิและปัญญา มีจิตตั้งมั่นในภายใน เป็นผู้ปราศจากลูกศร สิ้นสังโยชน์ บรรลุวิชชา ๓ ละมัจจุราชเสียได้ เป็นพระทักขิเณยยบุคคล ผู้เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของมนุษย์ทั้งหลาย
พระสารีบุตรเถระเมื่อจะสรรเสริญพระมหาโมคคัลลานเถระ ได้กล่าวภาษิตเหล่านี้ว่า
เทวดาเป็นอันมากที่มีฤทธิ์เดชเรืองยศศักดิ์ พร้อมด้วยพรหมชั้นพรหมปโรหิต ได้พากันมาประณมอัญชลีนมัสการ นอบน้อม และสรรเสริญแด่พระโมคคัลลานเถระ
พระมหาโมคคัลลานเถระรู้แจ้งโลกตั้งพันเพียงครู่เดียว เสมอด้วยท้าวมหาพรหม เป็นผู้ชำนาญในคุณ คือ อิทธิฤทธิ์ ในจุติและอุบัติของสัตว์ ย่อมเห็นเทวดาทั้งหลายในกาลอันสมควร
พระมหาโมคคัลลานะเถระเมื่อจะประกาศคุณของตนได้กล่าวภาษิตว่า
ภิกษุใดทรงคุณธรรมชั้นสูงด้วยปัญญา ศีล และอุปสมะ ภิกษุนั้นคือพระสารีบุตร เป็นผู้สูงสุดอย่างยิ่ง แต่เราเป็นผู้ฉลาดในวิธีแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ เป็นผู้ถึงความชำนาญในฤทธิ์ พึงเนรมิตอัตภาพชั่วขณะเดียวได้ตั้งแสนโกฏิ เราชื่อว่าโมคคัลลานะโดยโคตร เป็นผู้ชำนาญในสมาธิและวิชชา ถึงที่สุดแห่งบารมี เป็นปราชญ์ในศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้อันตัณหาไม่อาศัย มีอินทรีย์มั่นคง ได้ตัดเครื่องจองจำคือกิเลสทั้งสิ้นเสียอย่างเด็ดขาด เหมือนกับกุญชรชาติตัดปลอกที่ทำด้วยเถาหัวด้วนให้ขาดกระเด็นไป
เราได้ปรนนิบัติพระศาสดา ได้ทำตามคำสอนพระศาสดาแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว เราบรรลุถึงประโยชน์ที่กุลบุตรผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้นแล้ว บรรลุถึงความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงแล้ว
พระมหาโมคคัลลานเถระเมื่อจะกำราบมารที่ป่าเภสกฬาวัน กล่าวคาถาความว่า
มารผู้มักประทุษร้ายเบียดเบียนพระสาวกนามว่าวิธุระและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่ากกุสันธะ แล้วหมกไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นไร คือ เป็นนรกที่มีขอเหล็กตั้งร้อย และเป็นที่ทำให้เกิดทุกขเวทนาเฉพาะตนทุกแห่ง มารผู้มักประทุษร้าย เบียดเบียนพระสาวกนามว่าวิธุระและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่ากกุสันธะ หมกไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นนี้
ภิกษุใดเป็นสาวกแห่งพระพุทธเจ้า รู้กรรมและผลกรรมโดยประจักษ์ ท่านเบียดเบียนภิกษุนั้นเข้า ก็จะต้องประสบทุกข์เป็นแน่แท้ ท่านประทุษร้ายพระตถาคตนั้นแล้ว ก็จักเผาตนเองเหมือนกับคนพาลถูกไฟไหม้
ตัวท่านเป็นมารคอยแต่ประทุษร้ายพระตถาคตพระองค์นั้น ก็ต้องพบแต่สิ่งซึ่งมิใช่บุญ หรือท่านเข้าใจว่าบาปไม่ให้ผลแก่เรา เพราะท่านได้ทำบาปมา จะต้องเข้าถึงทุกข์ตลอดกาลนาน ท่านจงอย่าคิดร้ายต่อพระพุทธเจ้า และภิกษุทั้งหลายผู้สาวกของพระพุทธเจ้าอีกต่อไปเลย
พระมหาโมคคัลลานเถระได้กำราบมารที่ป่าเภสกฬาวันดังนี้แล้ว มารนั้นเสียใจจึงได้หายไป ณ ที่นั้นนั่นเอง
อ่าน มหาโมคคัลลานเถรคาถา