ผู้ไม่เคียดแค้น
พระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
พราหมณีคนหนึ่งจัดแจงอุทเทสภัตไว้เพื่อภิกษุ ๔ รูป แล้วให้พราหมณ์ไปยังวิหารเพื่อนิมนต์ภิกษุแก่ ๔ รูปมา เมื่อพราหมณ์ไปถึงยังวิหารได้ให้ภิกษุเลือกภิกษุ ๔ รูปมา
สามเณรผู้เป็นขีณาสพ ๔ รูป ซึ่งมีอายุ ๗ ปี คือ สังกิจจสามเณร บัณฑิตสามเณร โสปากสามเณร เรวตสามเณร ได้ไปกับพราหมณ์นั้น
พราหมณีจัดเตรียมอาสนะมีค่ามากไว้ เมื่อเห็นสามเณรแล้ว โกรธ บ่นพึมพำอยู่ กล่าวว่าพาเด็ก ๔ คนปูนหลานของตนมา ไม่สมควรเลย
นางจึงไม่ให้สามเณรเหล่านั้นนั่งบนอาสนะที่เตรียมไว้ จัดการลาดตั่งที่ต่ำ ๆ ให้แทน แล้วให้พราหมณ์ไปเลือกภิกษุอาวุโส แล้วนิมนต์มา
พราหมณ์ไปสู่วิหาร พบพระสารีบุตรเถระ ได้นิมนต์พระสารีบุตรมาสู่เรือน เมื่อพระสารีบุตรทราบว่าสามเณรเหล่ายังไม่ได้ภัต และทราบเขาจัดภัตไว้เพื่อภิกษุ ๔ รูปเท่านั้น จึงได้กล่าวว่าสามเณรควรได้ภัตก่อนจึงควร แล้วหลีกไป
พราหมณีกล่าวกะพราหมณ์ว่า พระสารีบุตรเห็นจะไม่ประสงค์จะฉัน และให้พราหมณ์รีบไปเลือกภิกษุอื่น แล้วนิมนต์มา
พราหมณ์ไปพบพระมหาโมคคัลลานเถระ แล้วนิมนต์มา แม้ท่านเห็นสามเณรทั้งหลายแล้ว ก็กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็รับบาตรหลีกไป
พราหมณีจึงให้พราหมณ์นั้นไปสู่โรงสวดของพวกพราหมณ์ แล้วนำพราหมณ์แก่คนหนึ่งมา
ฝ่ายสามเณรทั้งหลายไม่ได้ฉันอะไร ๆ ตั้งแต่เช้า นั่งอยู่ด้วยความหิว
ครั้งนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อนเพราะเดชคุณของสามเณร เมื่อทราบความที่สามเณรเหล่านั้นนั่งหิวโหยอยู่ตั้งแต่เช้า ทรงดำริว่าควรไปในที่นั้น
ท้าวเธอจึงแปลงเป็นพราหมณ์แก่คร่ำคร่า ประทับนั่งอยู่บนอาสนะที่เลิศของพราหมณ์ทั้งหลายในโรงสวด พราหมณ์พอเห็นท้าวสักกะนั้นแล้ว คิดว่าคราวนี้ พราหมณีจักพอใจ แล้วพาท้าวสักกะไปสู่เรือน
เมื่อพราหมณีเห็นท้าวสักกะ มีจิตยินดี ลาดเครื่องลาดบนอาสนะซ้อน ๒ ชั้น กล่าวเชิญท้าวสักกะนั่งบนเครื่องลาด
ท้าวสักกะเสด็จเข้าไปสู่เรือน ไหว้สามเณรทั้ง ๔ รูป ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงประทับนั่งที่พื้นท้ายอาสนะของสามเณรเหล่านั้น พราหมณีเห็นดังนั้นแล้ จึงกล่าวกะพราหมณ์ว่าพราหมณ์ที่สามีนำมาเป็นพราหมณ์บ้า เที่ยวไหว้สามเณรปูนหลานของตนได้ พราหมณ์นี้ไม่มีประโยชน์ และให้ขับไล่ท้าวสักกะออกไปเสีย
พราหมณ์แปลงนั้นถูกเขาจับที่คอบ้าง ที่มือบ้าง ที่รักแร้บ้าง ฉุดคร่าออกไป ก็ไม่ยอมลุกขึ้น สองผัวเมียจับที่มือทั้งสองข้างของพราหมณ์แปลง โบยที่หลัง ช่วยกันคร่าให้ออกไปนอกเรือน ฝ่ายท้าวสักกะก็คงประทับนั่งในที่ตนนั่ง
สองผัวเมียกลับมาเห็นท้าวสักกะประทับนั่งอยู่อย่างเดิม จึงร้องด้วยความกลัว ท้าวสักกะจึงแสดงพระองค์
สองผัวเมียได้ถวายอาหารแก่สามเณรเหล่านั้น เมื่อฉันเรียบร้อยแล้ว รูปหนึ่งทำลายมณฑลช่อฟ้าไป รูปหนึ่งทำลายหลังคาเบื้องหน้าไป รูปหนึ่งทำลายหลังคาเบื้องหลังไป รูปหนึ่งดำลงในแผ่นดินไป ฝ่ายท้าวสักกะก็เสด็จออกไปโดยทางหนึ่ง
ตั้งแต่นั้นมา เรือนนั้นได้ชื่อว่าเป็นเรือนมี ๕ ช่อง
เมื่อสามเณรไปสู่วิหาร ภิกษุทั้งหลายถามสามเณรทั้งหลายว่า เรื่องเป็นเช่นไรกัน สามเณรได้เล่าเรื่องให้ฟัง
ภิกษุทั้งหลายถามสามเณรว่าไม่โกรธผู้ทำอยู่อย่างนั้นหรือ สามเณรกล่าวตอบว่า ไม่โกรธ
ภิกษุทั้งหลายฟังคำนั้นแล้วกราบทูลแด่พระศาสดาว่าสามเณรเหล่านี้กล่าวคำไม่จริงว่า ไม่โกรธ ย่อมพยากรณ์พระอรหัตผล
พระศาสดาตรัสว่า ธรรมดาพระขีณาสพทั้งหลายย่อมไม่เคียดแค้นในชนทั้งหลายแม้ผู้เคียดแค้นแล้วเลย
แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
เราย่อมเรียกบุคคลผู้ไม่เคียดแค้นในบุคคลผู้เคียดแค้น
ผู้ดับเสียได้ในบุคคลผู้มีอาชญาในตน
ผู้ไม่ถือมั่นในบุคคลผู้ถือมั่นนั้นว่า เป็นพราหมณ์
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น
อ่าน
คาถาธรรมบท พราหมณวรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๔๓ หน้าที่ ๔๘๓ ถึงหน้าที่ ๔๘๘ เรื่อง สามเณร