ไม่มีที่หลบบาป
เมื่อพระศาสดประทับอยู่ในพระเชตวัน ภิกษุมากรูปต้องการเข้าไปเฝ้าพระศาสดา เข้าไปสู่ตำบลหนึ่งเพื่อบิณฑบาต ได้เห็นเปลวไฟลุกติดชายคาจากเตาหญิงคนหนึ่งผู้กำลังปรุงอาหารอยู่ เสียนหญ้าติดไฟอันหนึ่งขึ้นปลิวขึ้นจากชายคาลอยไปสู่อากาศ ในขณะนั้น กาตัวหนึ่งบินมา สอดคอเข้าไปในเสียนหญ้านั้น กาตัวนั้นไหม้ไฟ ตกลงที่กลางบ้าน
พวกภิกษุคิดว่า กานี้ตายแปลกประหลาด จักทูลถามกรรมของกานั้นกับพระผู้มีพระภาค
ภิกษุอีกพวกหนึ่งโดยสารเรือเพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดา เรือได้หยุดนิ่งเฉยกลางมหาสมุทร ชนเหล่านั้นคิดว่ามีคนกาลกิณีในเรือนี้ แล้วจึงแจกสลากให้จับ ภรรยาของนายเรื่ออยู่ในวัยสาวรุ่น กำลังน่าดู ได้ฉลาก ชนเหล่านั้นจึงแจกฉลากอีก แล้วให้แจกฉลากอีกถึง ๓ ครั้ง นางนั้นก็ได้ฉลากคนเดียวถึง ๓ ครั้ง
นายเรือกว่าว่าตนไม่อาจให้มหาชนฉิบหายเพื่อนางผู้นี้ จึงให้ทิ้งนางลงในน้ำ เมื่อชนจะจับนางทิ้งน้ำ นางกลัวตาย ได้ร้องไห้ นายเรือนั้นจึงกล่าวว่าอาภรณ์ของนางจะฉิบหายเสียเปล่า ให้เปลื้องอาภรณ์ทั้งหมด นุ่งผ้าเก่าผืนหนึ่ง แล้วให้เอากระออมที่เต็มด้วยทรายผูกที่คอนาง แล้วโยนนางลงไปในสมุทรเพื่อที่ตนจะได้ไม่ต้องเห็นนาง ปลาและเต่ารุมกินนางในที่ตกไปนั้น
ภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้วคิดว่า จะทูลถามกรรมของหญิงนั้นกับพระผู้มีพระภาค
ภิกษุอีกพวกหนึ่งจำนวน ๗ รูป เดินทางจากปัจจันตขนบทเพื่อจะเฝ้าพระศาสดา ในเวลาเย็น เข้าไปสู่วัดแห่งหนึ่งถามถึงที่พัก ภิกษุเหล่านั้นได้นอนในถ้ำซึ่งมีเตียงอยู่ ๗ เตียง ในตอนกลางคืน แผ่นหินใหญ่เท่าเรือนกลิ้งมาปิดประตูถ้ำไว้ ภิกษุเจ้าถิ่นให้ชนจากบ้าน ๗ ตำบลโดยรอบพยายามเขยื้อนแผ่นหินนั้น แม้พวกภิกษุในถ้ำก็พยายามเหมือนกัน ก็ไม่อาจะเขยื้อนแผ่นหินได้ตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ แผ่นหินนั้นกลิ้งออกไปเอง
ภิกษุนั้นออกจากถ้ำแล้วคิดว่า จะทูลถามบาปของพวกตนกับพระศาสดา
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์แก่ภิกษุเหล่านั้นโดยลำดับดังนี้
บุรพกรรมของกา
กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วโดยแท้
ในอดีตกาล ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ฝึกโคของตนอยู่ แต่ไม่อาจฝึกได้ด้วยว่าโคนั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็นอนเสีย แม้เขาตีให้ลุกขึ้นแล้ว เดินไปได้หน่อยหนึ่ง ก็กลับนอนเสียเหมือนอย่างเดิม ชาวนานั้นไม่อาจฝึกโคนั้นได้ ถูกความโกรธครอบงำแล้ว ทำโคนั้นให้เป็นดุจฟ่อนฟาง พันคอโคนั้นด้วยฟาง แล้วก็จุดไฟ โคถูกไฟคลอกตายในที่นั้นเอง
กรรมอันเป็นบาปกานั้นทำแล้วในครั้งนั้น เขาไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนานเพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น เกิดแล้วในกำเนิดกา ๗ ครั้ง ถูกไฟไหม้ตายในอากาศอย่างนี้ด้วยวิบากที่เหลือ
บุรพกรรมของภรรยานายเรือ
แม้หญิงเสวยกรรมที่ตนทำแล้วเหมือนกัน
ในอดีตกาล หญิงนั้นเป็นภรรยาแห่งคฤหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี ได้ทำกิจทุกอย่างมีตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหารเป็นต้น ด้วยมือของนางเอง
สุนัขตัวหนึ่งของนางนั่งแลดูนางทำกิจทุกอย่างอยู่ในเรือน เมื่อนางนำภัตไปนาก็ดี ไปป่าก็ดี สุนัขนั้นไปกับนางนั้นเสมอ
พวกคนหนุ่มเห็นดังนั้น เยาะเย้ยว่า พรานสุนัขออกแล้ว วันนี้พวกเราจักกินข้าวกับเนื้อ
นางขวยเขินเพราะคำพูดของพวกคนเหล่านั้น จึงทำร้ายสุนัขนั้นด้วยก้อนดินและท่อนไม้ให้หนีไป สุนัขกลับมา แล้วก็ตามไปอีก
สุนัขนั้นได้เป็นสามีของนางในอัตภาพที่ ๓ ก่อนอัตภาพนี้ เหตุนั้น มันจึงไม่อาจตัดความรักได้
นางโกรธสุนัขนั้น เมื่อนำข้าวยาคูไปให้สามีที่นา จึงได้เอาเชือกใส่ไว้ในชายพก สุนัขไปกับนางเหมือนเคย
นางให้ข้าวยาคูแก่สามีแล้ว ถือกระออมเปล่าไปสู่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง บรรจุกระออมให้เต็มด้วยทรายแล้ว ได้ทำเสียงสัญญาแก่สุนัขซึ่งยืนแลดูอยู่ในที่ใกล้
สุนัขดีใจว่า นานแล้วหนอ เราได้ถ้อยคำที่ไพเราะในวันนี้ จึงกระดิกหางเข้าหานาง
นางจับสุนัขนั้นอย่างมั่นที่คอแล้ว จึงเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมไว้ เอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ สุนัขถูกลากตามกระออมตกลงไปในน้ำ ตายในน้ำนั้นนั่นเอง
นางนั้นไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนานเพราะวิบากของกรรมนั้น ด้วยวิบากที่เหลือ จึงถูกเขาเอากระออมเต็มด้วยทรายผูกคอถ่วงลงในน้ำอย่างนี้แล้ว ตลอด ๑๐๐ อัตภาพ
บุรพกรรมของภิกษุ ๗ รูป
แม้ภิกษุ ๗ รูป ก็เสวยกรรมอันตนกระทำแล้วเหมือนกัน
ในอดีตกาล เด็กเลี้ยงโค ๗ คนชาวกรุงพาราณสี เที่ยวเลี้ยงโคอยู่คราวละ ๗ วัน ในประเทศใกล้ดงแห่งหนึ่ง
วันหนึ่ง เลี้ยงโคแล้ว กลับมาพบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง จึงไล่ตาม เหี้ยหนีเข้าไปสู่จอมปลวกแห่งหนึ่ง ก็ช่องแห่งจอมปลวกนั้นมี ๗ ช่อง
พวกเด็กปรึกษากันว่า บัดนี้ พวกเราไม่อาจจับได้ พรุ่งนี้จึงจักมาจับ แล้วเอากิ่งไม้ที่หักได้คนละกำ ๆ ทั้ง ๗ คนพากันปิดช่องทั้ง ๗ ช่องแล้วหลีกไป
วันรุ่งขึ้น เด็กเหล่านั้นมิได้นึกถึงเหี้ยนั้น ต้อนโคไปที่อื่น ครั้นในวันที่ ๗ พาโคกลับมา พบจอมปลวกนั้น กลับได้สติ คิดกันว่าเหี้ยนั้นเป็นอย่างไรหนอ จึงเปิดช่องที่ปิดไว้
เหี้ยหมดอาลัยในชีวิต เหลือแต่กระดูกและหนังสั่นคลานออกมา เด็กเหล่านั้นเห็นดังนั้นแล้ว จึงพูดกันว่า พวกเราอย่าฆ่ามันเลย มันอดเหยื่อตลอด ๗ วัน จึงลูบหลังเหี้ยนั้นแล้วปล่อยไป กล่าวว่า จงไปตามสบายเถิด
เด็กเหล่านั้นไม่ต้องไหม้ในนรกก่อน เพราะไม่ได้ฆ่าเหี้ย แต่ชนทั้ง ๗ นั้น ได้เป็นผู้อดข้าวร่วมกันตลอด ๗ วัน ๆ ใน ๑๔ อัตภาพ
กรรมนั้น พวกภิกษุ ๗ รูป เป็นเด็กเลี้ยงโค ๗ คนทำไว้แล้วในกาลนั้น
จะอยู่ที่ไหน ๆ ก็ไม่พ้นจากกรรมชั่ว
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามพระศาสดาว่า
ความพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมเป็นบาปแล้ว ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นไปสู่สมุทรก็ดี เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดีหรือ
พระศาสดาตรัสตอบว่า
อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย แม้ในที่ทั้งหลาย มีอากาศเป็นต้น ประเทศแม้สักส่วนหนึ่งที่บุคคลอยู่แล้ว พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ไม่มี
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้
หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
เขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่
ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น.
อ่าน
คาถาธรรมบท ปาปวรรค
อรรถกถาเรื่อง ชน ๓ คน