ผัคคุนสูตร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อาหาร ๔ เหล่านี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด คือ
๑. กวฬิงการาหาร หยาบหรือละเอียด
๒. ผัสสาหาร
๓. มโนสัญเจตนาหาร
๔. วิญญาณาหาร
ท่านพระโมลิยผัคคุนะกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ใคร ย่อมกลืนกินวิญญาณาหาร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก
วิญญาณาหารย่อมมีเพื่ออะไร อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
วิญญาณาหาร ย่อมมีเพื่อความบังเกิดในภพใหม่ต่อไป เมื่อวิญญาณาหารนั้นเกิดมีแล้ว จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
พระโมลิยผัคคุนะกราบทูลถามต่อไปว่า ใครหนอ ย่อมถูกต้อง (สัมผัส)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก
เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
พระโมลิยผัคคุนะได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ใครหนอ ย่อมเสวยอารมณ์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก
เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
พระโมลิยผัคคุนะกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ใครหนอ ย่อมทะเยอทะยาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก
เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
พระโมลิยผัคคุนะกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ใครหนอ ย่อมถือมั่น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก
เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ก็เพราะบ่อเกิดแห่งผัสสะทั้ง ๖ ดับ ด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
อ่าน ผัคคุนสูตร