โลมสกังภิยสูตร
เจ้าศากยะพระนามว่ามหานาม สด็จไปหาท่านพระโลมสกังภิยะ ณ นิโครธาราม ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ แล้วตรัสถามว่า
สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติเป็นวิหารธรรมของพระเสขะ ของพระตถาคต หรือว่าวิหารธรรมของพระเสขะอย่างหนึ่ง ของพระตถาคตอย่างหนึ่ง
ท่านพระโลมสกังภิยะกราบทูลว่า
สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสตินั้น เป็นวิหารธรรมของพระเสขะ เป็นวิหารธรรมของพระตถาคตหามิได้ วิหารธรรมของพระเสขะอย่างหนึ่ง ของพระตถาคตอย่างหนึ่ง
ภิกษุเหล่าใดเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัตผล ย่อมปรารถนาความเกษมจากโยคะ ภิกษุเหล่านั้นย่อมละนิวรณ์ ๕ เหล่านี้คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์
ภิกษุเหล่าใดเป็นพระอรหันตขีนาสพ บรรลุประโยชน์ตนแล้ว สิ้นสังโยชน์เครื่องนำไปสู่ภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ละนิวรณ์ ๕ ได้แล้ว ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
นี้เป็นปริยายที่วิหารธรรมของพระเสขะอย่างหนึ่ง ของพระตถาคตอย่างหนึ่ง
แล้วกล่าวต่อไปว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าชื่ออิจฉานังคละ ทรงปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่สักสามเดือน เมื่อล่วงสามเดือนนั้นแล้ว ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า
หากพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกถามว่า พระสมณโคดมอยู่จำพรรษาด้วยวิหารธรรมข้อไหนเป็นส่วนมาก พึงตอบว่าทรงอยู่จำพรรษาอยู่ด้วยสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติมาก
ก็เมื่อภิกษุจะกล่าวถึงสิ่งใดโดยชอบ พึงกล่าวถึงสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติว่าเป็นธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหมบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระตถาคตบ้าง
ภิกษุเหล่าใดเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะ สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ
ก็ภิกษุเหล่าใดเป็นพระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลำดับแล้ว สิ้นสังโยชน์เครื่องนำไปสู่ภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันและเพื่อสติสัมปชัญญะ
นี้เป็นปริยายที่วิหารธรรมของพระเสขะอย่างหนึ่ง ของพระตถาคตอย่างหนึ่ง
อ่านพระสูตรเต็ม โลมสกังภิยสูตร