Main navigation

นารทสูตร

ว่าด้วย
พระนารทเถระ
เหตุการณ์
พระเจ้ามุณฑะทรงคลายโศกจากการทิวงคตของพระนางภัททาราชเทวีเมื่อได้ฟังโสกสัลลหรณธรรมจากท่านพระนารทะ

เมื่อพระนางภัททาราชเทวีผู้เป็นที่รักทิวงคต พระราชามุณฑะ ไม่ทรงสรงสนาน ไม่ทรงแต่งองค์ ไม่เสวย ไม่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ ทรงซบเซาอยู่ที่พระศพพระนางภัททาราชเทวีตลอดคืนตลอดวัน และได้ตรัสสั่งมหาอำมาตย์ชื่อโสการักขะให้ยกพระศพพระนางภัททาราชเทวีลงในรางเหล็กที่เต็มด้วยน้ำมัน เพื่อให้พระองค์ได้เห็นพระศพพระนางนานเท่าไรยิ่งดี

โสรักขะพิจารณาว่าบางทีพระเจ้ามุณฑะได้ทรงสดับธรรม จะพึงละลูกศร คือ ความโศกได้ จึงกราบทูลพระราชาว่าท่านพระนารทะอยู่ที่กุกกุฏาราม ใกล้พระนครปาตลีบุตร มีกิตติศัพท์ขจรว่าเป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูต มีถ้อยคำอันวิจิตร มีปฏิภาณดีงาม เป็นวุฑฒบุคคล และเป็นพระอรหันต์ ก็ถ้าพระเจ้ามุณฑะได้ทรงสดับธรรมจากพระนารทะจะพึงละความโศกได้

ท่านพระนารทะได้แสดงธรรมแด่พระเจ้ามุณฑะว่า

ฐานะ ๕ ประการนี้ อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลกไม่พึงได้ คือ

ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา อย่าแก่ ๑
ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าเจ็บไข้ ๑ 
ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา อย่าตาย ๑
ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา อย่าสิ้นไป ๑
ขอสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา อย่าฉิบหายไป ๑

ปุถุชนที่ไม่ได้สดับ เมื่อสิ่งที่มีความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความสิ้นไป ความฉิบหายเป็นธรรมดาเป็นไปแล้ว เขาย่อมไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้น โดยที่แท้ เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมาการไป การจุติ การอุปบัติ ย่อมเป็นไปทั้งสิ้น

เมื่อสิ่งที่มีความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความสิ้นไป ความฉิบหายเป็นธรรมดาเป็นไปแล้ว เขาก็เศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย แม้อาหารก็ไม่อยากรับประทาน แม้กายก็เศร้าหมอง ซูบผอมแม้การงานก็พึงหยุดชะงัก แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ แม้พวกมิตรก็พึงเสียใจ

ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ถูกลูกศร คือ ความโศกที่มีพิษเสียบแทงเข้าแล้ว ย่อมทำตนให้เดือดร้อน

เมื่อสิ่งที่มี ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความสิ้นไป ความฉิบหายเป็นธรรมดา เป็นไป อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

ไม่ใช่สิ่งที่มีป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้น โดยที่แท้เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวง ที่มีการมา การไป การจุติ การอุปบัติ ย่อมเป็นไปทั้งสิ้น ก็เมื่อสิ่งที่มีความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความสิ้นไป ความฉิบหายเป็นธรรมดาเป็นไปแล้ว อริยสาวกนั้นย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย

อริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศร คือความโศกที่มีพิษ อันเป็นเครื่องเสียบแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ทำตนให้เดือดร้อน อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร ย่อมดับทุกข์ร้อนได้ด้วยตนเอง

ฐานะ ๕ ประการนี้แล อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆในโลกนี้ไม่พึงได้

เมื่อท่านพระนารทะกล่าวไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ได้กล่าวคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ประโยชน์แม้เล็กน้อยในโลกนี้ อันใคร ๆ ย่อมไม่ได้เพราะการเศร้าโศก เพราะการคร่ำครวญ พวกอมิตรทราบว่าเขาเศร้าโศก เป็นทุกข์ ย่อมดีใจ

ก็คราวใด บัณฑิตพิจารณารู้เนื้อความ ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหลาย คราวนั้น พวกอมิตรเห็นหน้าอันไม่ผิดปกติของบัณฑิตนั้นยิ้มแย้มตามเคย ย่อมเป็นทุกข์

บัณฑิตพึงได้ประโยชน์ในที่ใด ๆ ด้วยประการ ใด ๆ เพราะการสรรเสริญ เพราะความรู้ เพราะกล่าวคำสุภาษิต เพราะการบำเพ็ญทาน หรือเพราะประเพณีของตน ก็พึงบากบั่นในที่นั้น ๆ ด้วยประการนั้น ๆ

ถ้าทราบว่า ความต้องการนี้ อันเราหรือผู้อื่นไม่พึงได้ ก็ไม่ควรเศร้าโศก ควรตั้งใจทำงานโดยเด็ดขาดว่า บัดนี้เราทำอะไรอยู่

พระเจ้ามุณฑะตรัสชมว่า โสกสัลลหรณธรรมปริยายดีนัก เพราะได้ฟังธรรมปริยายนี้ จึงละลูกศรคือความโศกได้ และตรัสสั่งโสการักขะมหาอำมาตย์ให ถวายพระเพลิงพระศพพระนางภัททาราชเทวี แล้วทำเป็นสถูปไว้ ตั้งแต่วันนั้นทรงอาบน้ำแต่งตัว บริโภคอาหาร และประกอบการงาน

 

 

 

อ้างอิง
นารทสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒​ ข้อที่ ๕๐
ชุดที่
ลำดับที่
12

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ