มหาเวทัลลสูตร
ปัญญากับวิญญาณ
บุคคลผู้มีปัญญาทรามคือ บุคคลที่ไม่รู้ชัดในทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
บุคคลผู้มีปัญญาคือบุคคลที่รู้ชัดในทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
วิญญาณคือธรรมชาติที่รู้แจ้งว่า นี้สุข นี้ทุกข์ นี้ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข
ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ไม่อาจแยกออกแล้วบัญญัติหน้าที่ที่ต่างกันได้
เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น
แต่มีกิจที่จะพึงทำต่างกัน ปัญญาควรเจริญ วิญญาณควรกำหนดรู้
เวทนา สัญญา และวิญญาณ
เวทนา คือ ธรรมชาติที่รู้ รู้สุขบ้าง รู้ทุกข์บ้าง รู้สิ่งที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง
สัญญาคือ ธรรมชาติที่จำ จำสีเขียวบ้าง จำสีเหลืองบ้าง จำสีแดงบ้าง จำสีขาวบ้าง
เวทนา สัญญา และวิญญาณ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ไม่อาจแยกออกแล้วบัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะเวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็จำสิ่งนั้น สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น
พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณ (จิตอันสัมปยุตด้วยรูปาวจรฌานที่ ๔) อันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕ พึงรู้อากาสานัญจายตนฌานว่า อากาศหาที่สุดมิได้ พึงรู้วิญญาณัญจายตนฌานว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า น้อยหนึ่งมิได้มี
พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมที่ตนพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ
ประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ
ปัญญามีความรู้ยิ่ง ความกำหนดรู้ ความละ เป็นประโยชน์
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิมี ๒ ประการ คือ การได้ฟังบุคคลอื่น และการทำความทำในใจโดยแยบคาย
สัมมาทิฏฐิมีเจโตวิมุติและปัญญาวิมุตเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ อันองค์ธรรม ๕ ประการ อนุเคราะห์แล้ว คือ สัมมาทิฏฐิอันศีลอนุเคราะห์แล้ว อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว อันสากัจฉาอนุเคราะห์แล้ว อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว
ภพและฌาน
ภพมี ๓ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ
ความเกิดใหม่ในภพเกิดจากความยินดียิ่งในอารมณ์ของสัตว์ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกีดกัน มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
เมื่อสิ้นอวิชชา เมื่อวิชชาเกิด และตัณหาดับ ความเกิดในภพใหม่ในอนาคตจะไม่มี
ปฐมฌาน มีลักษณะคือ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข
มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ละองค์ (นิวรณ์) ๕ คือ ฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาหาวนอน) อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
อินทรีย์ ๕
อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน
อินทรีย์ ๕ มีใจเป็นที่อาศัย มีใจรับรู้วิสัยอันเป็นโคจรแห่งอินทรีย์ ๕ นั้น
อินทรีย์ ๕ ประการนี้อาศัย อายุ (ชีวิต) ในการตั้งอยู่ อายุ (ชีวิต) อาศัย อาศัยไออุ่น (ไฟที่เกิดแต่กรรม) ตั้งอยู่ ไออุ่น อาศัย อายุ (ชีวิต) ตั้งอยู่
อายุสังขาร (อายุ ชีวิตินทรีย์) กับเวทนียธรรม (เวทนา) ไม่ใช่อันเดียวกัน เพราะถ้าอายุสังขารกับเวทนียธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว การออกจากสมาบัติของผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่เพราะอายุสังขารกับเวทนียธรรมเป็นคนละอย่าง การออกจากสมาบัติของผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ จึงปรากฎอยู่
เมื่อธรรม ๓ ประการ คือ อายุ ไออุ่น และวิญญาณละกายไป กายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง นอนนิ่ง เหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา สัตว์ผู้ตายทำกาละไป มีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขารดับระงับไป มีอายุหมดสิ้นไป มีไออุ่นสงบ มีอินทรีย์แตกทำลาย
ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขารดับ ระงับไป แต่อายุยังไม่หมด มีไออุ่นยังไม่สงบ มีอินทรีย์ผ่องใส
ปัจจัยแห่งเจโตวิมุตติ
สมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุขมี ๔ อย่าง
บรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์
และดับโสมนัส โทมนัสได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี ๒ อย่างคือ
การไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง ๑
การมนสิการถึงนิพพานธาตุอันไม่มีนิมิต ๑
ปัจจัยแห่งความตั้งอยู่ของเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี ๓ อย่าง คือ
การไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง ๑
การมนสิการถึงนิพพานธาตุอันไม่มีนิมิต ๑
อภิสังขาร (ความกำหนดระยะกาล) ในเบื้องต้น ๑
ปัจจัยแห่งความออกของเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี ๒ อย่างคือ
การมนสิการถึงนิมิตทั้งปวง ๑
การไม่มนสิการถึงนิพพานธาตุอันไม่มีนิมิต ๑
เจโตวิมุตติมีอารมณ์ ๔ อย่าง
เจโตวิมุติมีอารมณ์ไม่มีประมาณ (อันหาประมาณมิได้)
เจโตวิมุติมีอารมณ์ไม่มีอะไร ๆ
เจโตวิมุติมีอารมณ์อันว่าง
เจโตวิมุติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิต
เจโตนิมิตมีอรรถต่างกัน มีพยัญชนะต่างกันก็มีคือ
เจโตวิมุตติทั้ง ๔ ต่างกันคือ เจโตวิมุติมีอารมณ์อันหาประมาณมิได้ เกิดขึ้นเมื่อบุคคล มีจิตเปี่ยมไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อันกว้างขวางหาประมาณไม่ได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไปสู่โลกหมดทุกส่วน เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง
เจโตวิมุติมีอารมณ์ว่าไม่มีอะไร ๆ เกิดขึ้นเมื่อบุคคลล่วงวิญญาณัญจายตนฌาน บรรลุอากิญจัญญายตนฌานว่าน้อยหนึ่งมิได้มี ด้วยการมนสิการว่าไม่มีอะไร ๆ อยู่
เจโตวิมุติมีอารมณ์อันว่างเกิดขึ้นเมื่อบุคคล พิจารณาเห็นว่า สิ่งนี้ว่างจากตนบ้าง จากสิ่งที่เนื่องด้วยตนเอง
เจโตวิมุติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิต เกิดขึ้นเมื่อบุคคลบรรลุเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เพราะไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง
เจโตวิมุตติทั้งสี่มีอรรถเดียวกัน ต่างกันเพียงพยัญชนะ คือ
ราคะ โทสะ โมหะอันทำประมาณ อันภิกษุผู้ขีณาสพละเสียแล้ว มีรากอันตัดขาดแล้วทำไม่ให้มีที่ตั้งดังว่าต้นตาลแล้ว ทำไม่ให้มีต่อไปแล้วมีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เจโตวิมุติอันไม่กำเริบนั้นว่างจากราคะ ว่างจากโทสะ ว่างจากโมหะ ราคะอันทำนิมิต โทสะอันทำนิมิต โมหะอันทำนิมิต
เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ เลิศกว่าเจโตวิมุตติมีอารมรณ์อันไม่ประมาณ เจโตวิมมุติมีอารมณ์ว่าไม่มีอะไร ๆ เจโตวิมุตติมีอารมณ์อันว่าเจโตวิมุตติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิต
อ่าน มหาเวทัลลสูตร