ดัดนิสัยตระหนี่โกสิยเศรษฐี
โกสิยะเศรษฐีอาศัยในนิคมสักกะ ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ มีนิสัยตระหนี่ มีสมบัติ ๘๐โกฏิ ซึ่งสมบัติเหล่านั้นเขาไม่เคยให้ใคร ทั้งตนเอง บุตร ภรรยา สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่เคยได้ประโยชน์จากทรัพย์เหล่านั้น
วันหนึ่งเศรษฐีไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามคธ ระหว่างกลับบ้าน ได้เห็นชาวบ้านคนหนึ่งกำลังกินขนมเบื้อง จึงเกิดอยากกินขนมเบื้องเป็นอย่างยิ่ง เมื่อกลับถึงบ้านคิดว่า ถ้าตนบอกว่าอยากกินขนมเบื้องก็จะมีคนอีกมากอยากกินด้วย ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองวัตถุในการทำ มีงา ข้าวสาร เนยใส น้ำอ้อย เป็นอันมาก จึงตัดสินใจไม่บอกใคร เพราะกลัวเสียเงิน แต่เมื่อผ่านไปหลายวัน เขาก็ยังอยากกิน จนร่างกายผอมลง มีเส้นเอ็นปรากฏ
ภรรยาเศรษฐีเห็นความเปลี่ยนแปลงของสามีแล้ว จึงเข้าไปถามเพื่อหาสาเหตุ ท้ายที่สุดเศรษฐีจึงบอกภรรยาว่าตนอยากกินขนมเบื้อง และให้ภรรยาทอดขนมเบื้องเพียงพอเฉพาะตนคนเดียวเท่านั้น เพราะไม่ต้องการแบ่งให้ผู้อื่นแม้แต่ภรรยาของตน แล้วให้ภรรยาใช้ข้าวสารหักและเชิงกรานและกระเบื้อง และจัดเตรียมน้ำนม เนยใส น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยหน่อยหนึ่ง ขึ้นไปทอดขนมเบื้องที่ชั้นบนของปราสาท ๗ ชั้น โดยเศรษฐีได้ปิดประตูใส่ลิ่มและสลักทุกประตูตั้งแต่ประตูชั้นแรกจนถึงประตูชั้นที่ ๖ แล้วขึ้นไปยังชั้นที่ ๗ ปิดประตู เพื่อไม่ให้ใครเห็น
หลังเสด็จออกจากสมาบัติ พระศาสดาทรงตรวจดูหมู่สัตว์ที่พอแนะนำในการตรัสรู้ได้ ทรงเห็นอุปนิสัยโสดาปัตติผลของเศรษฐีพร้อมทั้งภรรยา จึงตรัสให้พระมหาโมคคัลลานเถระไปกำราบเศรษฐีให้สิ้นพยศ ให้ทั้งสองผัวเมียถือขนมและน้ำนม เนยใส น้ำผึ้งและน้ำอ้อย นำมายังพระเชตวันด้วยกำลังของพระเถระ ซึ่งพระองค์กับภิกษุ ๕๐๐ รูปจะนั่งในวิหารเพื่อรอขนม
พระเถระจึงไปยังบ้านเศรษฐีด้วยกำลังฤทธิ์ ยืนที่หน้าต่างของปราสาท เมื่อเศรษฐีเห็น จึงขับไล่ แต่พระเถระก็ยังไม่ไป พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์ด้วยการเดินจงกรม นั่งคู้บัลลังก์ในอากาศ มายืนที่ขอบหน้าต่าง บังหวนควันขึ้น จนเศรษฐีคิดว่าพระเถระอยากได้ขนมจริง ๆ จึงบอกให้ภรรยาทอดขนมชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งให้แก่พระเถระ แต่ขนมชิ้นเล็กเมื่อลงกระทะกลับกลายเป็นชิ้นใหญ่ เศรษฐีไม่พอใจ จึงลงมือทอดเอง แต่ยิ่งทอดขนมก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาเกิดความเบื่อหน่าย จึงให้ขนมแก่พระเถระหนึ่งชิ้น
แต่เมื่อหยิบขนมหนึ่งชิ้น ขนมทั้งหมดกลับติดกันเป็นชิ้นเดียว ทำเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแยกขนมได้ จนเศรษฐีเหนื่อย ความหิวและความต้องการขนมได้หายไป จึงบอกให้ภรรยาถวายขนมทั้งหมดแก่พระเถระ
พระเถระแสดงธรรมแก่คนทั้งสอง กล่าวคุณพระรัตนตรัย แสดงผลของการให้ทานว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว ย่อมมีผล ยัญที่บุคคลบูชา ย่อมมีผล จนเศรษฐีเกิดความเลื่อมใส
พระเถระได้พาเศรษฐีและภรรยาไปเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ณ พระเชตวัน ด้วยกำลังฤทธิ์ ทั้งสองได้ถวายทักษิโณทกแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ภรรยาใส่ขนมในบาตรของพระตถาคต ทั้งสองได้บริโภคขนมจนพอแก่ความต้องการ และแม้จะถวายขนมแก่ภิกษุทุกรูปในวิหาร ให้แก่คนอนาถาทั้งหลาย ขนมก็ไม่หมดสิ้นไป พระพุทธองค์จึงให้ทั้งสองทิ้งขนมบริเวณซุ้มประตูพระเชตวัน ซึ่งทุกวันนี้ที่นั้นก็ยังปรากฏชื่อว่า เงื้อมขนมเบื้อง
จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำอนุโมทนา ในกาลจบอนุโมทนา ทั้งสองบรรลุโสดาปัตติผล ถวายบังคมพระศาสดา ขึ้นบันไดที่ซุ้มประตูพระเชตวัน สุดบันไดที่ปราสาทของตน ตั้งแต่นั้นมาเศรษฐีได้สละบริจาคทรัพย์จำนวน ๘๐ โกฏิ ตามสมควรถวายในพระพุทธศาสนา
ในวันรุ่งขึ้นพระศาสดาตรัสสรรเสริญพระโมคคัลลานะแก่ภิกษุทั้งหลายว่า เป็นภิกษุผู้กำราบ ไม่กระทบกระทั่งศรัทธา ไม่กระทบโภคะ ไม่ให้สกุลชอกช้ำ ไม่เบียดเบียนสกุล เข้าไปหาสกุลแล้ว ควรให้รู้พุทธคุณ แล้วตรัสว่า
มุนีพึงเที่ยวไปในบ้านเหมือนแมลงภู่ ไม่ทำดอก สี และกลิ่นให้ชอกช้ำ ถือเอาแต่รสแล้วบินไป
เมื่อจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น