การมีธรรมเป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง
เมื่อพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะปรินิพพานแล้วไม่นาน พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
ก็บริษัทของเรานี้ปรากฏเหมือนว่างเปล่า เมื่อสารีบุตรและโมคคัลลานะยังไม่ปรินิพพาน สารีบุตรและโมคคัลลานะอยู่ในทิศใด ทิศนั้นของเราไม่ว่างเปล่า ความไม่ห่วงใยย่อมมีในทิศนั้น
พระพุทธเจ้าที่ได้มีมาแล้วในอดีต หรือจักมีในอนาคต พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นก็มีคู่สาวกเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับสารีบุตรและโมคคัลลานะเหมือนเรา
เป็นความอัศจรรย์ เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมา เมื่อคู่สาวกกระทำตามคำสอน กระทำตามโอวาทของพระศาสดา เป็นที่รักเป็นที่ชอบใจ และเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพและสรรเสริญของบริษัท ๔ ปรินิพพานแล้ว ความโศกหรือความร่ำไรก็มิได้มีแก่พระตถาคต เพราะสิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ล้วนแตกสลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าเสื่อมสลายไป มิใช่ฐานะที่จะมีได้
เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย จงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นที่ยึดเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
การมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง คือ
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักเป็นผู้เลิศ
อ่าน เจลสูตร