พระมหาโมคคัลลานะปรินิพพาน
พวกเดียรถีย์ประชุมปรึกษาว่าเพราะเหตุไรลาภสักการะจึงบังเกิดมากมายแก่พระสมณโคดม
เดียรถีย์คนหนึ่งบอกว่า ลาภสักการะเกิดขึ้นเพราะพระโมคคัลลานะชอบไปเที่ยวเทวโลก ถามถึงกรรมที่เหล่าเทวดากระทำ แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่า พวกเขาทำกรรมอะไรจึงได้สมบัติเช่นนี้ และถามกรรมของพวกที่เกิดในนรก แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่าพวกเขาทำกรรมอะไร จึงได้เสวยทุกข์เช่นนี้ มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังถ้อยคำของพระมหาโมคคัลลานะแล้ว จึงได้ถวายลาภสักการะใหญ่แก่พระสมณโคคมและพวกภิกษุ
แล้วเสนอความเห็นว่า ถ้าฆ่าพระโมคคัลลานะเสีย ลาภสักการะนั้นก็จักเกิดแก่พวกตน เดียรถีย์จึงชักชวนพวกอุปัฏฐากของตนให้รวบรวมเงินมาได้หนึ่งพันกหาปณะ แล้วเรียกโจรมาสั่งให้ไปฆ่าพระมหาโมคคัลลานะที่กาฬศิลา
พวกโจรได้เงินแล้วจึงไปล้อมสถานที่อยู่ของพระโมคคัลลานะ พระพระโมคคัลลานะรู้ว่าพวกโจรเหล่านั้นล้อมตนอยู่ จึงใช้ฤทธิ์ออกจากเสนาสนะ เวลาจำพรรษาผ่านไป ๒ เดือน ก็ยังทำอะไรพระเถระไม่ได้ เดือนสุดท้าย พระเถระรู้ว่าอกุศลกรรมที่เคยทำไว้จะติดตามทัน จึงไม่หลบหนี
เมื่อพวกโจรจับท่านได้ พากันทุบตี ทำกระดูกของท่านให้มีขนาดเมล็ดข้าวสาร เมื่อคิดว่าพระเถระนั้นตายแล้ว จึงโยนร่างพระเถระไปหลังพุ่มไม้ แล้วหนีไป
พระโมคคัลลานะคิดว่า เราจักเฝ้าถวายบังคมพระศาสดาก่อน แล้วจึงจะปรินิพพาน จึงประสานร่างกายให้เหมือนเดิมด้วยฌาน แล้วเหาะไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ตนจักปรินิพพาน
พระพุทธเจ้าขอให้พระโมคคัลลานะกล่าวธรรมแล้วค่อยไป เพราะตั้งแต่นี้ไป จะไม่ได้เห็นสาวกเช่นพระโมคคัลลานะอีก
พระเถระถวายบังคมพระศาสดา เหาะขึ้นสู่อากาศ แสดงฤทธิ์แบบต่าง ๆ แล้วกล่าวธรรม ถวายบังคมลาพระศาสดาไปยังกาฬศิลา แล้วปรินิพพาน
พิธีศพพระโมคคัลลานะ
ชาวเทวโลกทั้ง ๖ ชั้น เกิดโกลาหลว่า ข่าวว่า อาจารย์ของพวกเราปรินิพพานแล้ว ต่างถือของหอม มาลา ธูป เครื่องอบ และจันทน์จุรณอันเป็นทิพย์ ทั้งฟืนนานาชนิดมาประชุมกันแล้ว สร้างจิตกาธารด้วยจันทน์แดง สูง ๙๙ ศอก
พระศาสดาประทับอยู่ใกล้ศพพระเถระ ตรัสสั่งให้จัดการปลงศพของพระโมคคัลลานะ รอบ ๆ สุสาน ฝนดอกไม้โปรยตกลงมาในที่ประมาณโยชน์หนึ่ง มีมนุษย์ เทวดา ยักษ์ คนธรรพ์ นาค ครุฑ กินนรา กินนร ฉัตร สุวรรณจามร ธงชัย แผ่นผ้า ผู้ที่มาประชุมทุกเหล่าต่างเล่นสาธุกีฬาอยู่ตลอดเจ็ดวัน
พระศาสดาตรัสสั่งให้เก็บพระอัฐิธาตุของพระเถระมาทำเจดีย์บรรจุไว้ที่ซุ้มประตูพระเวฬุวันวิหาร
เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูจับตัวคนร้ายและสมณะเปลือยทั้ง ๕๐๐ คนได้ ก็จับพวกโจรและพวกสมณเปลือยฝัง จากนั้นสุมด้วยฟางแล้วจุดไฟเผา แล้วให้เอาไถเหล็กไถซ้ำทำให้เป็นท่อนเล็ก ท่อนน้อย
บุพกรรมของพระโมคคัลลานะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าความตายของโมคคัลลานะไม่เหมาะสมแก่อัตภาพนี้ แต่เหมาะสมแท้แก่กรรมที่โมคคัลลานะนั้นทำไว้ในชาติก่อน
พระพุทธเจ้าจึงตรัสบุรพกรรมของพระโมคคัลลานะว่า
ในอดีตกาล มีกุลบุตรคนหนึ่งในนครพาราณสี ปฏิบัติดูแลบิดามารดาตาบอดด้วยตนเอง บิดามารดาก็เลยหาภรรยามาให้เพื่อช่วยงาน เมื่อภรรยาดูแลบิดามารดาได้ ๒-๓ วันเท่านั้น ก็ไม่ปรารถนาจะเห็นคนทั้งสองอีก เวลาที่กุลบุตรออกไปข้างนอก นางจึงเอาชิ้นเปลือกปอและฟองข้าวยาคูมาโรยในที่ต่าง ๆ แล้วกล่าวว่าคนทั้งแก่ทั้งบอดเหล่านี้ ทำให้สกปรกไปทั่วเรือน นางไม่อาจอยู่ในที่เดียวกันกับคนเหล่านี้
เมื่อนางกล่าวอยู่บ่อย ๆ กุลบุตรผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วก็แตกกับบิดา มารดา จึงกล่าวกับบิดา มารดาว่า พวกญาติที่อยู่ต่างหมู่บ้านต้องการให้ไปเยี่ยม เมื่อถึงกลางดง ก็ได้ทำเสียงให้เหมือนว่าเป็นพวกโจรดักปล้น ทุบตีพ่อแม่จนตาย โยนศพทิ้งในดงแล้วกลับมา
ด้วยกรรมนี้ พระโมคคัลลานะไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี ด้วยผลวิบากที่เหลือ จึงเป็นผู้แหลกละเอียดเพราะทุบแล้วถึงความตายสิ้นร้อยอัตภาพ
พระโมคคัลลานะได้ความตายอันสมควรแก่กรรมของตนอย่างนี้ ฝ่ายพวกเดียรถีย์ ๕๐๐ กับโจร ๕๐๐ ประทุษร้ายบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย ก็ได้ความตายอันสมควรเหมือนกัน เพราะผู้ประทุษร้ายในคนผู้ไม่ประทุษร้ายย่อมถึงความพินาศเพราะเหตุ ๑๐ ประการ
บุคคลใดประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้ไม่มีอาชญา ด้วยอาชญา ย่อมเข้าถึงฐานะ ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ย่อมถึง
เวทนาอันหยาบ ๑
ความเสื่อม ๑
ความแตกทำลายแห่งสรีระ ๑
อาพาธหนัก ๑
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑
ความขัดข้องแต่พระราชา ๑
การกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๑
ความสิ้นญาติ ๑
ความผุพังแห่งโภคทรัพย์ ๑
ไฟย่อมไหม้เรือนของเขา ๑
เพราะกายแตกทำลาย คนปัญญาทรามนั้นย่อมเข้าถึงนรก