มหาสัจจกสูตร
พระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรมแก่สัจจกนิครนถ์ ดังนี้
บุคคลที่มีกายมิได้อบรม มีจิตมิได้อบรม เป็นอย่างไร
ปุถุชนในโลกนี้ผู้มิได้สดับ มีสุขเวทนาเกิดขึ้น เมื่อถูกสุขเวทนากระทบเข้าแล้ว มีความยินดีในสุขเวทนา ถึงความเป็นผู้ยินดีในสุขเวทนา
เมื่อสุขเวทนาดับไป มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น เมื่อถูกทุกขเวทนากระทบเข้า ก็เศร้าโศก ลำบากใจ รำพัน คร่ำครวญ
แม้สุขเวทนาเกิดขึ้นแก่ปุถุชนคนใดคนหนึ่ง ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่มิได้อบรมกาย
แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่มิได้อบรมจิต
บุคคลที่มีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้ว เป็นอย่างไร
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ผู้ได้สดับ มีสุขเวทนาเกิดขึ้น เมื่อถูกสุขเวทนากระทบเข้าแล้ว ไม่มีความยินดีในสุขเวทนา ไม่ถึงความเป็นผู้ยินดีในสุขเวทนา
เมื่อสุขเวทนาดับไป มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น เมื่อถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ก็ไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่รำพัน คร่ำครวญ
แม้สุขเวทนานั้นเกิดขึ้นแก่อริยสาวกแล้ว ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้อบรมกาย
แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้อบรมจิต
เหตุที่สุขเวทนาหรือทุกขเวทนาที่ครอบงำจิตได้ ไม่พึงมีแก่พระพุทธเจ้า
เมื่อพระพุทธองค์ทรงออกบวชและศึกษาธรรมกับท่านอาฬารดาบสกาลามโคตรและท่านอุททกดาบสรวมบุตร จนมีความแน่ใจว่า ธรรม (สมาบัติ ๘) ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานแล้ว พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา เมื่ออุปมา ๓ ข้อ ปรากฏแจ่มแจ้งแก่พระองค์
อุปมา ๓ ข้อ
สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ยังไม่หลีกออกจากกามด้วยกาย ยังมีความพอใจ รักใคร่ กระวนกระวาย เพราะกามที่ยังไม่ได้ละและระงับคืนเสียในภายใน แม้จะเสวยหรือไม่ได้เสวยทุกขเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะความเพียรก็ดี ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อรู้ เพื่อเห็น เพื่อความตรัสรู้ดีอันประเสริฐ
สมณะหรือพราหมณ์ แม้หลีกออกจากกามด้วยกายแล้ว แต่ยังมีความพอใจ ความรักใคร่ กระวนกระวายเพราะกามที่ยังไม่ได้ละและระงับคืนเสียในภายใน แม้จะเสวยหรือไม่ได้เสวยทุกขเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะความเพียรก็ดี ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อรู้ เพื่อเห็น เพื่อความตรัสรู้ดีอันประเสริฐ
สมณะหรือพราหมณ์ เมื่อหลีกออกจากกามด้วยกายแล้ว ทั้งละและระงับความพอใจ ความรักใคร่ กระวนกระวายเพราะกามทั้งหลายในภายในแล้ว แม้จะเสวยหรือไม่ได้เสวยทุกขเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะความเพียรก็ดี ก็เป็นผู้ควรเพื่อรู้ เพื่อเห็น และเพื่อความตรัสรู้ดีอันประเสริฐ
ทุกขเวทนา
แม้พระพุทธองค์จะทรงประสบกับทุกขเวทนาทางกายอย่างมากขณะบำเพ็ญทุกกรกิริยาด้วยการกดฟัน กลั้นลมหายใจ และอดอาหาร แต่ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นนี้ ก็มิได้ครอบงำจิตของพระองค์
แล้วทรงดำริว่า ความเพียรในการเสวยทุกขเวทนายิ่งกว่านี้ไม่มี แต่ก็ยังมิได้บรรลุญาณทัศนะอันวิเศษ ทางแห่งการตรัสรู้คงเป็นทางอื่น ทรงระลึกถึงสมัยที่ทรงนั่งอยู่ใต้ต้นหว้า สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาณ มีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก วิญญาณก็ตามระลึกด้วยสติว่า ทางนั้นเป็นทางแห่งความตรัสรู้ ทรงไม่กลัวความสุขอันเกิดแต่การเว้นจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงเสวยอาหารเพื่อให้มีกำลังบำเพ็ญเพื่อการตรัสรู้ต่อไป ทรงตรัสว่า
สุขเวทนา
แม้สุขเวทนาที่เกิดขึ้นจากการบรรลุ ปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ตติยฌาณ จตุตฌาน ก็มิได้ครอบงำจิตของพระองค์
แม้สุขเวทนาที่เกิดขึ้นจากการบรรลุวิชชา ๑ คือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็มิได้ครอบงำจิตของพระองค์
แม้สุขเวทนาที่เกิดขึ้นจากการบรรลุวิชชา ๒ คือ จุตูปปาตญาณ ก็มิได้ครอบงำจิตของพระองค์
แม้สุขเวทนาที่เกิดขึ้นจากการบรรลุวิชชา ๓ คือ อาสวักขยญาณ ก็มิได้ครอบงำจิตของพระองค์
ความเป็นผู้หลงและไม่หลง
บุคคลเป็นผู้หลง เพราะหลงอาสวะทั้งหลายอันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย วิบาก เป็นทุกข์ มีชาติ ชรา มรณะต่อไป เพราะยังละอาสวะทั้งหลายไม่ได้ จึงเป็นผู้หลง
บุคคลเป็นผู้ไม่หลง เพราะละอาสวะทั้งหลายเสียได้ ไม่มีความเกิดอีกต่อไป
เมื่อทรงแสดงธรรมจบสัจจกนิครนถ์นิคันถบุตร ชื่นชม อนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้วจากไป
อ่าน มหาสัจจกสูตร