สาริปุตตสูตร
พระสารีบุตรกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า ถ้าภิกษุไม่เป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของผู้อื่น ภิกษุนั้นพึงศึกษาว่า เราจักเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน
ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตนอย่างไร
เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษที่เป็นหนุ่มสาว มีปรกติชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตนในคันฉ่องหรือในภาชนะน้ำอันใส ถ้าเห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็พยายามเพื่อขจัดธุลีหรือจุดดำนั้นเสีย หากว่าไม่เห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็ย่อมดีใจ มีความดำริอันบริบูรณ์ด้วย
เหตุนั้นแลว่า เป็นลาภของเราหนอ หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ
การพิจารณาของภิกษุว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌา จิตพยาบาท ถีนมิทธะ ความฟุ้งซ่าน ความสงสัย ความโกรธ ความเศร้าหมองแห่งจิต กายอันปรารภแรงกล้า ความเกียจคร้าน และความตั้งมั่นแห่งจิตหรือไม่
เมื่อพิจารณาแล้วรู้ว่าตนเป็นผู้มีอภิชฌา จิตพยาบาท ถีนมิทธะ ความฟุ้งซ่าน ความสงสัย ความโกรธ ความเศร้าหมองแห่งจิต กายอันปรารภแรงกล้า ความเกียจคร้าน และมีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก ภิกษุนั้นควรพยายาม ไม่ท้อถอย มีสติและสัมปชัญญะ เพื่อละธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น
เมื่อพิจารณาแล้วรู้ว่าตนเป็นผู้ไม่มีอภิชฌา จิตพยาบาท ถีนมิทธะ ความฟุ้งซ่าน ความสงสัย ความโกรธ ความเศร้าหมองแห่งจิต มีกายอันมิได้ปรารภแรงกล้า มีความเพียร และเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมาก ภิกษุนั้นตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแล้ว พึงทำความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายให้ยิ่งขึ้นไป
อ่าน สาริปุตตสูตร