ทางแห่งการบรรลุสุขอันไพบูลย์
สมัยหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี ได้มีงานนักษัตร พวกชนพาลผู้มีปัญญาทราม เอาเถ้าและโคมัยทาร่างกาย เที่ยวกล่าววาจาของอสัตบุรุษไปตลอด ๗ วัน ชนทั้งหลายไม่อาจฟังอสัปปุริสวาทของพวกเขาได้ จึงส่งทรัพย์ให้กึ่งบาทบ้าง บาทหนึ่งบ้าง กหาปณะหนึ่งบ้าง ตามกำลัง พวกเขาได้ทรัพย์แล้วก็หลีกไป
ในกาลนั้น พระนครสาวัตถีมีอริยสาวกประมาณ ๕ โกฏิ ท่านเหล่านั้นส่งข่าวไปถวายพระศาสดาว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์ อย่าเสด็จเข้าไปสู่พระนคร จงประทับอยู่แต่ในพระวิหารตลอด ๗ วัน
เมื่องานนักษัตรเสร็จสิ้นลงแล้ว อริยสาวกเหล่านั้นนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้เสด็จเข้าไปยังพระนคร ถวายทานใหญ่ นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว กราบทูลว่า
๗ วันของพวกตนล่วงไปได้โดยยากอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินวาจามิใช่ของสัตบุรุษของพวกพาล หูทั้งสองเป็นประหนึ่งจะแตกทำลาย เพราะเหตุนั้น จึงไม่ปรารถนาให้พระองค์เสด็จเข้ามาภายในพระนคร
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของอริยสาวกเหล่านั้นแล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
พวกชนพาลผู้มีปัญญาทราม ย่อมประกอบเนืองๆ ซึ่งความประมาท
ส่วนผู้มีปัญญา ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อันประเสริฐ
ท่านทั้งหลายอย่าตามประกอบความประมาท
อย่าตามประกอบความเชยชิดด้วยความยินดีในกาม
เพราะว่า ผู้ไม่ประมาทแล้ว เพ่งพินิจอยู่ ย่อมบรรลุสุขอันไพบูลย์
ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมากได้เป็นอริยบุคคล มีพระโสดาบันเป็นต้น
คาถาธรรมบท อัปปมาทวรรค
อรรถกถา พาลนักษัตร