สรณะอันเกษมคือพระรัตนตรัย
เมื่อพระเจ้ามหาโกศลสวรรคต พระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งเป็นพระราชโอรส ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติแทน พระองค์ทรงให้ความเคารพอัคคิทัต ซึ่งเป็นปุโรหิตของพระบิดา โดยทำการเสด็จลุกรับ พระราชทานอาสนะเสมอกัน แม้เช่นนั้น อัคคิทัตก็คิดว่า พระราชายังเยาว์วัย ซึ่งความเป็นพระราชากับผู้ที่มีวัยเสมอกัน เป็นเหตุให้เกิดสุข ส่วนตนเป็นคนแก่ ควรออกบวช
อัคคิทัตจึงสละทรัพย์ของตนทั้งหมดให้ทานตลอด ๗ วัน แล้วออกบวช โดยมีบุรุษหมื่นหนึ่งออกบวชตามเขา ทั้งหมดอาศัยอยู่ระหว่างแคว้นอังคะ แคว้นมคธ และแคว้นกุรุ โดยอัคคิทัตให้โอวาทนักบวชเหล่านั้นว่า ถ้าผู้ใดมีกามวิตกเกิดขึ้น ให้ขนทรายหนึ่งหม้อจากแม่น้ำมาเกลี่ยลง ณ ที่นี้ ซึ่งต่อมากองทรายได้ใหญ่ขึ้นและอหิฉัตตะนาคราชได้มาอาศัยอยู่ที่กองทรายนั้น ประชาชนต่างนำเครื่องสักการะไปถวายทานแก่พวกนักบวชเหล่านั้นทุกๆเดือน อัคคิทัตได้สอนศิษย์ของตนและชนเหล่านั้น ให้ถึงภูเขา ป่า อาราม และต้นไม้เป็นสรณะ แล้วจะพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นได้
วันหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ในเวลาจวนรุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลก อัคคิทัตพราหมณ์พร้อมด้วยศิษย์ ได้เข้ามาในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ทรงทราบว่า ชนเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัต จึงให้พระมหาโมคคัลลานเถระไปให้โอวาทแก่มหาชนเหล่านั้น แล้วพระองค์จะเสด็จตามไปภายหลัง
พระเถระเห็นว่าชนเหล่านั้นมีมากและมีกำลัง จึงเนรมิตให้เกิดฝนเม็ดใหญ่ เพื่อให้ชนเหล่านั้นต่างเข้าบรรณศาลาของตน แล้วจึงไปพบอัคคิทัตเพียงผู้เดียว เพื่อขอพักแรม อัคคิทัตไม่ให้พระเถระพักที่บรรณศาลาของตน แต่ให้ไปพักที่กองทรายที่นาคราชอาศัยอยู่และได้เตือนว่านาคราชนั้นร้ายกาจนัก
นาคราชเห็นพระเถระนั้นเดินเข้ามา จึงบังหวนควันขึ้น หวังให้พระเถระตาย ซึ่งพระเถระได้บังหวนควันสู้ ควันทั้งหลายตั้งขึ้นจนถึงพรหมโลก นาคราชไม่อาจอดทนกำลังแห่งควันได้ จึงพ่นไฟสู้ ฝ่ายพระเถระเข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์ แล้วพ่นไฟตอบโต้ เปลวไฟพุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก นาคราชถูกไฟคลอกไปทั่วร่าง
หลังจากทำให้นาคราชหมดพยศแล้ว พระเถระนั่งบนกองทราย นาคราชเอาขนดรวบกองทราย แผ่พังพานกั้นอยู่เบื้องบนของพระเถระ ในเวลาเช้าหมู่ฤษีมาที่กองทราย ด้วยคิดว่าพระเถระตายแล้ว แต่เมื่อเห็นพระเถระนั่งอยู่บนยอดกองทราย จึงทราบว่าท่านสามารถทรมานนาคราชได้แล้ว
ในขณะนั้น พระศาสดาเสด็จมาถึง พระเถระลุกขึ้นถวายบังคมและบอกหมู่ฤษีว่าท่านเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ หมู่ฤษีประคองอัญชลีชมเชยพระศาสดาว่า อานุภาพของสาวกยังถึงเพียงนี้ แล้วอานุภาพของพระศาสดาจะเป็นเช่นไร
พระผู้มีพระภาคทรงให้โอวาทแก่อัคคิทัตและหมู่ฤษีว่า บุคคลถึงวัตถุทั้งหลายมีภูเขาเป็นต้น ว่าเป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย ส่วนบุคคลถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นได้
พระองค์ทรงภาษิตพระคาถาว่า มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ว่าเป็นที่พึ่ง ซึ่งสรณะนั้นไม่เกษม ไม่อุดม เพราะไม่สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ซึ่งทำให้สัตว์ถึงความสงบแห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบ สรณะนั้นเกษม อุดม เพราะทำให้บุคคลพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
เมื่อจบเทศนา ฤษีเหล่านั้นทั้งหมด บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ถวายบังคมพระศาสดา แล้วทูลขอบรรพชาในสำนักของพระผู้มีพระภาค ในขณะนั้นหมู่ฤษีได้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร ๘ ดุจพระเถระเป็นร้อยพรรษา ประชาชนที่นำเครื่องสักการะมา เห็นฤษีทั้งหมดบวช เกิดความสงสัยว่าอัคคิทัตเป็นใหญ่กว่าพระสมณโคดม เพราะพระสมณโคดมเป็นผู้มาหา อัคคิทัตจึงแก้ความสงสัยของบริษัท โดยเหาะขึ้นไปสู่เวหา แล้วลงมาถวายบังคมพระศาสดาถึง ๗ ครั้ง แล้วประกาศว่าตนเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อ่าน คาถาธรรมบท พุทธวรรค
อ่าน ปุโรหิตชื่ออัคคิทัต