Main navigation

คนพาลเห็นบาปเหมือนของหวาน

ว่าด้วย
พระอุบลวรรณาเถรี
เหตุการณ์
พระศาสดาทรงปรารภพระอุบลวรรณาเถรี ผู้ไปอยู่ในป่า ถูกข่มขืน จึงมีข้อกำหนดให้ภิกษุณีอยู่ในละแวกบ้านเท่านั้น

พระอุบลวรรณาเถรีตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามปทุมุตตระ กระทำบุญทั้งหลายสิ้นแสนกัลป์ ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐีในกรุงสาวัตถีในพุทธุปบาทกาลนี้
 
มารดาบิดาได้ตั้งชื่อนางว่าอุบลวรรณา เพราะนางมีผิวพรรณเหมือนกลีบอุบลเขียว เมื่อนางเจริญวัย พระราชาและเศรษฐีทั้งหลายต่างส่งบรรณาการไปขอนางจากบิดา เศรษฐีคิดว่าไม่สามารถเอาใจคนทั้งหมดได้ จึงได้ถามธิดาว่าจะบวชได้ไหม คำของบิดาเป็นเหมือนน้ำมันที่ต้มแล้วตั้ง ๑๐๐ ครั้ง อันเขารดลงบนศีรษะ เพราะความที่นางมีภพสุดท้าย นางจึงบวช
 
เมื่อบวชแล้วไม่นาน นางตามประทีป กวาดโรงอุโบสถ ยืนถือนิมิตแห่งเปลวประทีป แลดู ยังฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้เกิด กระทำฌานนั้นให้เป็นบาท บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญาทั้งหลาย
 
ในกาลนั้น พระศาสดายังไม่ทรงห้ามการอยู่ป่าของพวกนางภิกษุณี พระเถรีนั้นเที่ยวจาริกไปในชนบท แล้วกลับมาสู่ป่าอันธวัน พวกชนสร้างกระท่อม ตั้งเตียงกั้นม่านไว้ในป่าแก่พระเถรีนั้น พระเถรีเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี แล้วออกมา

ฝ่ายนันทมาณพผู้เป็นบุตรของลุงของพระเถรี มีจิตปฏิพัทธ์ต่อพระเถรีตั้งแต่กาลที่ท่านยังเป็นคฤหัสถ์ ได้เข้าไปซ่อนภายใต้เตียงในกระท่อม เมื่อพระเถรีกลับมา เขาปลุกปล้ำข่มขืนพระเถระแล้วหนีไป แผ่นดินใหญ่ได้แยกออก สูบเขาลงไป เขาไปเกิดในอเวจีมหานรก
 
เมื่อพระศาสดาทรงสดับเรื่องแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา ตรัสว่า 
 
บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นพาล เมื่อทำกรรมลามก ย่อมยินดีร่าเริง ประะดุจได้เคี้ยวกินของหวานมีน้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด เป็นต้น
 
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า
 
คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้ง ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ก็เมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้น คนพาลย่อมประสพทุกข์
 
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น

สมัยต่อมา มหาชนสนทนากันในธรรมสภาว่าพระขีณาสพทั้งหลายยังยินดีกามสุข ยังเสพกาม เพราะพระขีณาสพเหล่านั้นไม่ใช่ไม้ผุ ไม่ใช่จอมปลวก มีเนื้อและสรีระสดใสอยู่
 
เมื่อพระศาสดาทรงทราบ จึงตรัสว่า
 
พระขีณาสพทั้งหลายไม่ยินดีกามสุข ไม่เสพกาม  เหมือนอย่างว่า หยาดน้ำตกลงบนใบบัว ย่อมไม่ติด ไม่ตั้งอยู่ ย่อมกลิ้งตกไป และเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาด ไม่ติด ไม่ตั้งอยู่ ที่ปลายเหล็กแหลม ย่อมกลิ้งตกไปแน่แท้ ฉันใด กามแม้ ๒ อย่าง ย่อมไม่ซึมซาบ ไม่ตั้งอยู่ในจิตของพระขีณาสพ ฉันนั้น
 
ดังนี้แล้วเมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
 
เรากล่าวบุคคลผู้ไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย เหมือนน้ำไม่ติดอยู่ในใบบัว เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติดอยู่ที่ปลายเหล็กแหลม ว่าเป็นพราหมณ์ 

พระศาสดารับสั่งให้เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศลมา แล้วตรัสเรื่องกุลธิดา บวชแล้ว อยู่ในป่าเหมือนอย่างกุลบุตรทั้งหลาย คนลามกถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมเบียดเบียนภิกษุณีผู้อยู่ในป่า ด้วยการดูถูกดูหมิ่นบ้าง ด้วยการทำอันตรายแก่พรหมจรรย์บ้าง เพราะฉะนั้น พระราชาควรทำที่อยู่ภายในพระนครแก่ภิกษุณีสงฆ์ 
 
พระราชาทรงรับสั่งให้สร้างที่อยู่เพื่อภิกษุณีสงฆ์ในพระนคร ตั้งแต่นั้นมาพวกภิกษุณีย่อมอยู่ในละแวกบ้านเท่านั้น


อ่าน พระอุบลวรรณาเถรี
อ่าน คาถาธรรมบท พาลวรรค

อ้างอิง
พระอุบลวรรณาเถรี พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ เล่มที่ ๔๑ หน้า ๒๑๓-๒๑๗
ลำดับที่
29

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ