เหมือนแมงมุมตกไปในใยของตัว
พระนางเขมานั้นตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ได้เป็นผู้มีพระรูปงดงามน่าเลื่อมใส
พระนางได้ทรงสดับว่าพระศาสดาตรัสติโทษของรูป จึงไม่ปรารถนาจะเสด็จไปยังสำนักของพระศาสดา พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบความที่พระอัครมเหสีมัวเมาอยู่ในรูป จึงตรัสให้พวกนักกวีแต่งเพลงขับพรรณนาพระอุทยานเวฬุวัน และให้พวกนักฟ้อนขับเพลงเหล่านั้น เมื่อพระนางได้สดับจึงทรงปรารถนาจะเสด็จไปพระอุทยานเวฬุวัน
พระศาสดาทรงทราบการเสด็จมาของพระนาง จึงทรงเนรมิตหญิงรูปงามยืนถือพัดก้านตาลพัดอยู่ที่ข้างพระองค์ พระนางเขมาเทวีได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงนั้น ทรงดำริว่าพระนางไม่อาจเทียบแม้ส่วนแห่งเสี้ยวของหญิงนี้ ไม่เคยเห็นหญิงงามเช่นนี้ ที่ชนทั้งหลายกล่าวพระศาสดาตรัสติโทษของรูป นั้นไม่จริง ไม่ใส่ใจถึงเสียงพระดำรัสของพระตถาคต ประทับยืนทอดพระเนตรดูหญิงนั้น
พระศาสดาทรงทราบความที่พระนางมีมานะเกิดขึ้นในรูปนั้น จึงทรงแสดงรูปนั้นให้ล่วงภาวะของผู้มีอายุ ๑๖ ปี มีอายุราว ๒๐ ปี พระนางเขมาได้ทอดพระเนตร มีจิตเบื่อหน่ายหน่อยหนึ่งว่า รูปนี้ไม่เหมือนรูปก่อน
พระศาสดาทรงแสดงความแปรเปลี่ยนของหญิงนั้นโดยลำดับ คือ เพศหญิงคลอดบุตรครั้งเดียว เพศหญิงกลางคน เพศหญิงแก่ เพศหญิงแก่คร่ำคร่าเพราะชรา พระนางก็ทรงเบื่อหน่ายรูปนั้นในเวลาที่ทรุดโทรมเพราะชราโดยลำดับ ครั้นทรงเห็นรูปนั้นมีฟันหัก ผมหงอก หลังโกง มีซี่โครงขึ้นดุจกลอน มีไม้เท้ายันข้างหน้า งกงันอยู่ ก็ทรงเบื่อหน่ายเหลือเกิน
พระศาสดาทรงแสดงรูปหญิงนั้นให้เป็นรูปอันพยาธิครอบงำ ในขณะนั้นเอง หญิงนั้นทิ้งไม้เท้าและพัดใบตาล ร้องเสียงขรม ล้มลงที่ภาคพื้น จมลงในมูตรและกรีสของตน กลิ้งเกลือกไปมา พระนางเขมาทรงเห็นหญิงนั้นแล้ว ทรงเบื่อหน่ายเต็มที
พระศาสดาทรงแสดงมรณะของหญิงนั้น หญิงนั้นถึงความเป็นศพพองขึ้นในขณะนั้นเอง สายแห่งหนองและหมู่หนอนไหลออกจากปากแผลทั้ง ๙ ฝูงสัตว์มีกาเป็นต้น รุมแย่งกันกิน
พระนางเขมาจึงทรงดำริว่า รูปนั้นแม้เห็นปานนี้ ก็ถึงความสิ้นความเสื่อมไปโดยครู่เดียวเท่านั้น สาระในรูปนี้ ไม่มีหนอ
พระศาสดาทรงตรวจดูวาระจิตของพระนางเขมานั้นแล้ว จึงตรัสว่า
สาระมีอยู่ในรูปนี้หรือ จงดูความที่รูปนั้นหาสาระมิได้ ในบัดนี้
แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
จงดูร่างกายอันอาดูร ไม่สะอาด เน่าเปื่อย
ไหลออกทั้งข้างบน ไหลออกทั้งข้างล่าง
อันคนพาลทั้งหลายปรารถนายิ่งนัก
ในกาลจบพระคาถา พระนางดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
พระศาสดาตรัสกะพระนางว่า
สัตว์เหล่านี้เยิ้มอยู่ด้วยราคะ ร้อนอยู่ด้วยโทสะ งงงวยอยู่ด้วยโมหะ จึงไม่อาจเพื่อก้าวล่วงกระแสตัณหาของตนไปได้ ต้องข้องอยู่ในกระแสตัณหานั้นนั่นเอง
เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
สัตว์ผู้กำหนัดแล้วด้วยราคะ ย่อมตกไปสู่กระแสตัณหา เหมือนแมงมุมตกไปยังใยที่ตัวทำไว้เองฉะนั้น ธีรชนทั้งหลายตัดกระแสตัณหาแม้นั้นแล้ว เป็นผู้หมดความห่วงใย ละเว้นทุกข์ทั้งปวงไป
ในกาลจบเทศนา พระนางเขมาทรงดำรงอยู่ในพระอรหัต
พระศาสดาตรัสกะพระราชาว่า จะให้พระนางเขมาบวชหรือปรินิพพาน พระราชาทูลให้พระนางบวช
เมื่อพระนางบรรพชาแล้ว ได้เป็นสาวิกาผู้เลิศ
อ่าน พระนางเขมา
อ่าน คาถาธรรมบท ตัณหาวรรค