พระสุนีตเถระ
พระสุนีตเถระนี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลว่างพระพุทธเจ้า ท่านบังเกิดในเรือนมีตระกูล เจริญวัยแล้ว ขวนขวายในการเล่นกีฬากับคนพาลทั้งหลาย วันหนึ่ง ท่านเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาตในบ้าน จึงด่าว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าเที่ยวภิกขาจาร ควรจะหาเลี้ยงชีพด้วยกสิกรรมและวาณิชกรรม หากท่านไม่สามารถจะทำ
กสิกรรม ท่านจงนำปัสสาวะและอุจจาระในทุก ๆ เรือนออกไป จงเลี้ยงชีพโดยการชำระล้างพื้นในภายหลัง
เพราะกรรมนั้น ท่านจึงไหม้ในนรก ด้วยเศษแห่งกรรมนั่นจึงบังเกิดในตระกูลแห่งบุคคลผู้เทดอกไม้ สิ้นหลายร้อยชาติในมนุษยโลก เลี้ยงชีพโดยอาการเช่นนั้น
ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดในตระกูลแห่งบุคคลผู้เทดอกไม้ เมื่อไม่ได้อาหารและเครื่องนุ่งห่ม ก็เลี้ยงชีพด้วยการชำระล้างอุจจาระ
ในปัจฉิมยาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติ ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตในหทัยของสุนีตะ
เมื่อราตรีสว่างแล้ว ทรงครองผ้าแต่เช้า ถือบาตรและจีวร แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเที่ยวบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ เสด็จดำเนินไปตามถนนที่สุนีตะทำการชำระล้างอุจจาระ
ฝ่ายสุนีตะนั้นทำอุจจาระ หยากเยื่อ และอาหารที่เป็นเดนให้เป็นกอง แล้วใส่ในกระเช้าหาบไป เห็นพระศาสดาแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์กำลังเสด็จมา พรั่นพรึง มีใจวุ่นวาย ชื่นชมอยู่ จึงวางหาบไว้ที่ข้างฝาเรือน แล้วยืนแอบฝาประคองอัญชลีอยู่
พระศาสดาเสด็จถึงที่ใกล้ท่าน ทรงพระดำริว่า สุนีตะแอบชื่นชมพระองค์อยู่ เพราะละอายในชาติและกรรมเลว
พระองค์จึงตรัสถามสุนีตะว่าจะบวชไหม สุนีตะได้ยินพระดำรัสของพระศาสดา มีความปีติและโสมนัสอย่างยิ่ง จึงกราบทูลขอบวช
ท่านได้บรรพชาและอุปสมบทโดยเอหิภิกษุภาวะ ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ เป็นราวกะว่าพระเถระ ๖๐ พรรษา ได้อยู่ในสำนักพระศาสดา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำท่านไปยังวิหาร ตรัสบอกกรรมฐาน ท่านยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้บังเกิดก่อน แล้วเจริญวิปัสสนา ได้เป็นผู้ได้อภิญญา ๖
เทพมีท้าวสักกะเป็นต้นและพรหมเข้าไปหาท่าน แล้วนมัสการ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นท่านแวดล้อมไปด้วยหมู่เทพ ทรงแย้มและสรรเสริญ ทรงแสดงธรรมด้วยพระคาถาว่า
บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะคุณธรรม ๔ ประการ คือตบะ ๑ พรหมจรรย์ ๑ สัญญมะ ๑ ทมะ ๑
ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวบุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๔ ประการ มีตบะ เป็นต้น นั้นว่า เป็นพราหมณ์ผู้อุดม
ลำดับนั้น ภิกษุเป็นอันมากประสงค์จะให้ท่านบันลือสีหนาท จึงถามท่านว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงออกจากตระกูล บวช ท่านบวชได้อย่างไร และท่านแทงตลอดสัจจะได้อย่างไร
ท่านเมื่อจะประกาศเรื่องนั้นทั้งหมด จึงบันลือสีหนาทด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
สุนีตเถรคาถา - พระสุนีตบันลือสีหนาท
เราเกิดมาในสกุลต่ำ เป็นคนยากจน มีเครื่องบริโภคน้อย การงานของเราเป็นการงานต่ำ เราเป็นคนเทดอกไม้ เราถูกมนุษย์เกลียดชัง ดูหมิ่น และแช่งด่า เราถ่อมตน ไหว้หมู่ชนเป็นอันมาก
ครั้งนั้น เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นมหาวีรบุรุษ ห้อมล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปสู่นครอันอุดมของชาวมคธเพื่อบิณฑบาต เราจึงวางกระเช้าลง แล้วเข้าไปถวายบังคม พระองค์ได้ประทับยืนอยู่เพื่ออนุเคราะห์เรา
เราได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดา แล้วจึงทูลขอบรรพชา
พระศาสดาผู้มีพระกรุณา ได้ตรัสเรียกเราว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด พระดำรัสนั้น เป็นอุปสมบทของเรา
เมื่อเราอุปสมบทแล้ว อยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ไม่เกียจคร้าน ได้ทำตามดำรัสของพระศาสดาผู้พิชิตมารที่ทรงสั่งสอนเรา
ในราตรีปฐมยาม เราก็ระลึกถึงชาติก่อน ๆ ได้ ในมัชฌิมยาม ก็ได้ทิพยจักษุ ในปัจฉิมยาม เราก็ทำลายกองแห่งความมืด คือ อวิชชาได้
ครั้นรุ่งราตรีพระอาทิตย์อุทัย เทพเจ้าเหล่าอินทร์และพรหมทั้งหลายพากันประนมอัญชลีนมัสการเรา พร้อมกับกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็นอุดมบุรุษ ขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้สิ้นอาสวะ เป็นทักขิไณยบุคคล
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเราห้อมล้อมด้วยหมู่เทพเจ้า จึงได้ทรงยิ้มแย้มและได้ตรัสเนื้อความนี้ว่า
บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะคุณธรรม ๔ ประการ คือตบะ ๑ พรหมจรรย์ ๑ สัญญมะ ๑ ทมะ ๑
ท่านผู้รู้ทั้งหลาย กล่าวบุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๔ ประการ มีตบะเป็นต้น นั้นว่า เป็นพราหมณ์ผู้อุดม
อ่าน สุนีตเถรคาถา