Main navigation

ผู้ตัดเครื่องผูกแห่งมาร

ว่าด้วย
จูฬธนุคคหบัณฑิต
เหตุการณ์
พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งผู้เกิดความกระสันเพราะหญิง

ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจับสลากของตนในโรงสลาก ถือเอาข้าวต้มไปสู่โรงฉัน แล้วนั่งฉัน ในโรงฉันนั้นไม่มีน้ำ จึงได้ไปยืนหน้าเรือนหลังหนึ่ง หญิงสาวรุ่นคนหนึ่งในเรือน พอเห็นภิกษุนั้น ก็เกิดความสิเนหา จึงกล่าวว่าเมื่อไหร่ที่ภิกษุนั้นต้องการน้ำดื่ม ให้มาที่เรือนนี้อีก

ตั้งแต่นั้น ในกาลใดภิกษุนั้นไม่ได้น้ำดื่ม ก็จะไปยังเรือนนั้น ฝ่ายหญิงนั้นก็รับบาตร แล้วถวายน้ำดื่ม วันหนึ่ง นางถวายข้าวต้มแล้ว นิมนต์ให้ภิกษุนั้นนั่งในเรือน ถวายข้าวสวย แล้วเอ่ยว่าในเรือนนี้มีสิ่งของทุกอย่าง แต่ยังไม่มีคนจัดการเท่านั้น

ภิกษุนั้นสดับถ้อยคำแล้ว โดย ๒-๓ วันเท่านั้น ก็กระสัน จนผอมเหลืองหนัก พวกภิกษุอาคันตุกะจึงนำภิกษุนั้นไปสู่สำนักพระอาจารย์และอุปัชฌายะ อาจารย์และอุปัชฌายะเหล่านั้นก็นำภิกษุนั้นไปสู่สำนักพระศาสดา

เมื่อพระผู้มีพระภาคทราบว่าภิกษุนั้นเป็นผู้กระสัน ได้ตรัสว่าเหตุไรจึงไม่ให้เขาเรียกว่าโสดาบันหรือสกคาทามี แต่ให้เขาเรียกว่ากระสัน

ภิกษุนั้นจึงกราบทูลความแก่พระผู้มีพระภาค พระศาสดาจึงได้นำอดีตนิทานมาตรัสเล่า ดังนี้

จุลลธนุคคหชาดก ว่าด้วย จุลลธนุคคหบัณฑิต

ในอดีตกาล ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกะ ในกาลนั้น พราหมณ์มาณพชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งเรียนศิลปศาสตร์ทั้งปวงในเมืองตักกสิลา ได้สำเร็จในธนูกรรม วิชายิงธนู มีนามว่า จุลลธนุคคหบัณฑิต

อาจารย์ของจุลลธนุคคหบัณฑิตคิดว่ามาณพนี้เรียนศิลปะศาสตร์ได้เหมือนตน จึงได้ยกธิดาของตนให้ จุลลธนุคคหบัณฑิตจึงได้พานางเดินทางไปเมืองพาราณสี

ในระหว่างทาง มีดงแห่งหนึ่ง ช้างดุร้ายอาศัยอยู่ คนทั้งหลายไม่กล้าเข้าไปที่นั้น และได้ห้ามจุลลธนุคคหบัณฑิตไว้ แต่เขาก็ยังพาภรรยาขึ้นสู่ปากดง ช้างได้ปรากฏขึ้น เขาเอาลูกศรยิงช้างนั้น ช้างได้ล้มลง ณ ที่นั้นเอง เขาปลอดภัย แล้วเดินทางต่อไปถึงอีกดงหนึ่ง
แม้ในดงนั้น ก็มีโจร ๕๐ คน คอยปล้นคนเดินทาง แม้คนทั้งหลายพากันห้ามพวกเขา แต่เขาก็ยังเข้าไปสู่ดงนั้น เขาได้ไปถึงสถานที่ตั้งของโจร โจรทั้งหลายเห็นเขามากับภรรยา ผู้ประดับตกแต่งร่างกาย จึงคิดจักจับตัวธนุคคหบัณฑิต

หัวหน้าโจรเป็นผู้ฉลาดในลักษณะของบุรุษ แลดูเท่านั้นก็รู้ว่ามาณพนั้นเป็นอุดมบุรุษ จึงห้ามไม่ให้แม้โจรคนหนึ่งลุกขึ้น

ธนุคคหบัณฑิตได้กล่าวกะภรรยาให้ไปขอเนื้อย่างไม้หนึ่งกะพวกโจร แล้วนำเนื้อนั้นมา ภรรยาได้ทำตามเขาสั่ง หัวหน้าโจรคิดว่า บุรุษผู้นี้หาค่ามิได้ จึงอนุญาต

พวกโจรพูดกันว่าพวกตนจะกินเนื้อย่างสุก จึงได้ให้เนื้อย่างดิบไป

ธนุคคหบัณฑิต ผู้ลำพองตน จึงโกรธพวกโจรที่ให้เนื้อดิบและกล่าวต่อว่า พวกโจรก็โกรธ จึงพากันลุกฮือขึ้น ธนุคคหบัณฑิตยิงโจร ๔๙ คนด้วยลูกศร ๔๙ ดอกให้ล้มลง แต่ไม่เหลือลูกศรให้ยิงหัวหน้าโจร ในกล่องลูกศรของเขามีลูกศรอยู่ ๕๐ ดอกพอดี เขายิงช้างเสียลูกหนึ่ง จึงยิงพวกโจรด้วยลูกศรที่เหลืออยู่ ๔๙ ดอก เขาได้ผลักหัวหน้าโจรให้ล้มลง นั่งทับบนอกไว้ คิดว่าจักตัดศีรษะของนายโจร จึงร้องให้ภรรยาส่งดาบให้

ภรรยาของเขาเกิดความเสน่หาในหัวหน้าโจร จึงวางด้ามดาบที่มือโจร วางฝักดาบที่มือของสามี นายโจรจับถูกด้าม จึงชักดาบออกมาตัดศีรษะของธนุคคหบัณฑิต

โจรนั้นครั้นฆ่าธนุคคหบัณฑิตแล้ว ก็พาหญิงนั้นไป แล้วถามนางว่าเป็นใคร มาจากไหน

นายโจรเดินไปคิดไปว่าหญิงนี้ให้ฆ่าสามีที่บิดาเลือกให้ ครั้นเห็นคนอื่นอีกคนหนึ่งเข้าก็จักกระทำอย่างนั้นแม้กะตน จึงควรทิ้งหญิงนี้เสีย

ในระหว่างทางได้เห็นแม่น้ำน้อยสายหนึ่งมีพื้นตื้น มีน้ำเต็มอยู่ชั่วคราว จึงมีอุบายบอกนางว่าจระเข้ในแม่น้ำนี้ดุร้าย ควรจะกระทำอย่างไรดี นางได้บอกให้นายโจรกระทำเครื่องอาภรณ์ภัณฑ์ให้เป็นห่อของด้วยผ้าห่มของนาง แล้วนำไปฝั่งโน้น แล้วกลับมาพานางไป

นายโจรตกลงรับคำนาง แล้วถือเอาเครื่องอาภรณ์ภัณฑ์ทั้งหมดลงสู่แม่น้ำ ทำทีเป็นว่ายข้ามไปถึงฝั่งโน้น แล้วทิ้งนางไปเสีย  

เพราะความอยากได้เกินไป นางจึงเป็นคนไร้ที่พึ่งพา ได้เข้าไปยังกอตะไคร้น้ำกอหนึ่งในที่ไม่ไกล นั่งร้องไห้อยู่

ขณะนั้น ท้าวสักกะทรงตรวจดูโลกอยู่ทรงเห็นนางผู้ถูกความอยากได้เกินไปครอบงำ ผู้เสื่อมจากสามีและโจรกำลังร้องไห้อยู่ ทรงดำริว่า จักข่มหญิงนี้ให้ได้อาย จึงทรงพาสารถีมาตลีและปัญจสิขเทพบุตรเสด็จไป ณ ที่นั้น ประทับยืนที่ฝั่งแม่น้ำ แล้วทรงรับสั่งให้มาตลีเป็นปลา ปัญจสิขะเป็นนก ส่วนพระองค์จักเป็นสุนัขจิ้งจอกคาบชิ้นเนื้อไปยังที่ตรงหน้านาง

เมื่อไปถึงที่นั้น ให้ปลากระโดดขึ้นจากน้ำ ตกลงตรงหน้าพระองค์ พระองค์จักทิ้งชิ้นเนื้อที่คาบเสีย แล้ววิ่งไปจะงับปลา ในขณะนั้น ให้ท่านปัญจสิขะที่แปลงเป็นนกโฉบเอาชิ้นเนื้อนั้นบินไปในอากาศ ตัวท่านมาตลีที่แปลงเป็นปลาโดดลงไปในน้ำ

เมื่อนางเห็นสุนัขจิ้งจอกไม่ได้ทั้งสองอย่าง มีหน้านองด้วยน้ำตา นางหัวเราะลั่น คิดว่าสุนัขจิ้งจอกนี้ถูกความอยากเกินไปครอบงำ ไม่ได้ทั้งเนื้อและปลา และกล่าวว่าสุนัขจิ้งจอกพาล ผู้โง่เขลา เป็นสัตว์มีปัญญาน้อย เสื่อมจากปลาและชิ้นเนื้อ ซบเซาอยู่ เหมือนคนกำพร้า

สุนัขจิ้งจอกจึงกล่าวต่อนางว่า โทษของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ส่วนโทษของตนเห็นได้ยาก เจ้านั่นแหละเสื่อมจากผัวและชายชู้ ซบเซาแม้กว่าเราเสียอีก

นางได้กล่าวว่าสุนัขจิ้งจอกกล่าวอย่างใด ข้อนี้ก็เป็นอย่างนั้น ตนไปจากที่นี่แล้ว จักหาผัวใหม่ได้แน่นอน

ท้าวสักกเทวราช ครั้นทรงสดับถ้อยคำของนางผู้ทุศีลไร้อาจาระ จึงตรัสว่า

พูดอะไร ผู้ใดนำภาชนะดินไปได้ แม้ภาชนะสำริด ภาชนะทอง และภาชนะเงิน เป็นต้น ผู้นั้นก็จะนำเอาไปเหมือนกัน ก็บาปนี้หญิงนั้นทำไว้นั่นแหละ ใคร ๆ ไม่อาจชำระสะสางให้ หญิงนั้นจักกระทำอย่างนี้อีกแน่นอน

ครั้นพระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดกว่า

ในกาลนั้น จูฬธนุคคหบัณฑิตได้เป็นภิกษุนี้ หญิงนั้นได้เป็นหญิงสาวรุ่นในบัดนี้ ท้าวสักกเทวราชผู้มาโดยรูปสุนัขจิ้งจอก ทำการข่มขี่นางนั้น เป็นพระผู้มีพระภาคนี่แหละ

แล้วทรงโอวาทภิกษุนั้นว่า

หญิงนั้นปลงบัณฑิตผู้เลิศในชมพูทวีปจากชีวิตเพราะความสิเนหาในชายซึ่งตนเห็นครู่เดียวนั้นอย่างนี้ ภิกษุนั้นจงตัดตัณหาอันปรารภหญิงนั้นเสีย

ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไป จึงทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า

ตัณหาย่อมเจริญยิ่งแก่ชนผู้ถูกวิตกย่ำยี มีราคะจัด เห็นอารมณ์ว่างาม บุคคลนั้นย่อมทำเครื่องผูกให้มั่น

ส่วนภิกษุใดยินดีในธรรมเป็นที่เข้าไประงับวิตก เจริญอสุภฌานอยู่ มีสติทุกเมื่อ ภิกษุนั้นแลจักทำตัณหาให้สูญสิ้นได้ ภิกษุนั้นจะตัดเครื่องผูกแห่งมารได้

ในกาลจบเทศนา ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว เทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บุคคลผู้ประชุมกัน ดังนี้แล

 

 

อ่าน จูฬธนุคคหบัณฑิต

อ้างอิง
คาถาธรรมบท ตัณหาวรรค พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๓๔ หน้า ๔๓ และอรรถกถาเรื่อง จูฬธนุคคหบัณฑิต พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๔๓ หน้าที่ ๓๑๑-๓๑๖
ลำดับที่
7

อารมณ์

กามกำเริบ

สถานการณ์

การปฏิบัติธรรม

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ