ไปสู่ที่อันไม่ต้องเศร้าโศก
ในกาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปในเมืองสาเกตเพื่อบิณฑบาต พราหมณ์เฒ่าชาวเมืองสาเกตคนหนึ่งกำลังเดินออกไปจากพระนคร พบพระทศพลที่ระหว่างประตู จึงหมอบลงแทบพระบาททั้งสอง แล้วจับที่ข้อพระบาทไว้มั่น กล่าวว่า
พวกลูกชายพึงประคบประหงมมารดาและบิดาในเวลาที่ท่านชราแล้วมิใช่หรือ เหตุไรพระองค์จึงไม่แสดงตนให้ปรากฏ ขอพระองค์จงเสด็จมาเยี่ยมมารดาบ้าง
แล้วก็ได้พาพระศาสดาไปสู่เรือนของตน พระศาสดาเสด็จไปที่เรือนแล้ว ประทับนั่งเหนืออาสนะซึ่งปูลาดไว้กับพวกภิกษุสงฆ์ ฝ่ายพราหมณีมาหมอบแทบพระบาททั้งสอง แล้วทูลว่า
พ่อไปเสียที่ไหน ตามธรรมดาบุตรธิดาควรบำรุงมารดาบิดาในเวลาที่ท่านแก่เฒ่ามิใช่หรือ แล้วให้บุตรและธิดาทั้งหลายถวายบังคม พลางกล่าว จงถวายบังคมพระพี่ชาย
สองสามีภรรยามีใจยินดี เลี้ยงดูภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วทูลขอให้ทรงรับภิกษาที่เรือนนี้ เป็นนิตย์
พระศาสดาตรัสว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงรับภิกษาเป็นนิตย์ในที่แห่งเดียวเท่านั้น พราหมณ์จึงขอให้พระองค์ส่งพวกคนที่นิมนต์พระองค์มายังเรือนของเขา
ตั้งแต่นั้น พระศาสดาทรงส่งคนที่มานิมนต์พระองค์ไปด้วยพระดำรัสว่า จงไปบอกแก่พราหมณ์เถิด คนที่มานิมนต์เหล่านั้นย่อมไปบอกกะพราหมณ์ว่า เราทั้งหลายนิมนต์พระศาสดาเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ และในวันรุ่งขึ้น พราหมณ์ย่อมถือภาชนะภัตและภาชนะแกงจากเรือนของตน ไปสู่สถานที่พระศาสดาประทับนั่งอยู่
ถ้ากิจนิมนต์ไปฉันที่อื่นไม่มี พระศาสดาย่อมทรงทำภัตกิจที่เรือนของพราหมณ์นั้นแล แม้สองสามีภรรยานั้น ถวายไทยธรรมของตนแด่พระตถาคต ฟังธรรมกถาเป็นนิตย์ และได้บรรลุอนาคามิผล
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า พราหมณ์ชื่อโน้นรู้ว่าพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดาของพระตถาคต พระนางเจ้ามหามายาเป็นพระมารดา ทั้งรู้อยู่อย่างนั้น ยังเรียกพระตถาคตว่าบุตรของเรา ฝ่ายพระศาสดาก็ทรงรับรองอย่างนั้นเหมือนกัน จักมีเหตุอะไรหนอแล
พระศาสดาทรงสดับกถาของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า ทั้งสองสามีภริยานั้น ย่อมเรียกบุตรของตนเท่านั้นว่าบุตร แล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมาทรงแสดงความที่พระองค์เป็นบุตรของพราหมณ์ผัวเมียทั้งสองนั้น สิ้น ๓,๐๐๐ ชาติ แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
ใจย่อมจดจ่อ แม้จิตก็เลื่อมใสในบุคคลใด เขาย่อมสนิทสนมในบุคคลแม้นั้นซึ่งตนไม่เคยเห็นโดยแท้
ความรักนั้นย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการอย่างนี้ คือ เพราะการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑ เพราะการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ๑ เปรียบเหมือนดอกบัวเกิดในน้ำได้ เพราะอาศัยเปือกตมและน้ำ ฉะนั้น
พระศาสดาทรงอาศัยตระกูลนั้นสิ้นไตรมาส ฝ่ายพราหมณ์และพราหมณีนั้นได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตผลแล้วก็ปรินิพพาน คราวนั้น ชนทั้งหลายทำสักการะอย่างมากมายแก่พราหมณ์และพราหมณี แล้วก็ยกทั้งสองขึ้นสู่เรือนยอดหลังเดียวกัน แล้วนำไปป่าช้า
พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร ได้เสด็จไปยังป่าช้ากับชนเหล่านั้นเหมือนกัน มหาชนต่างมากันด้วยคิดว่าพระมารดาและพระบิดาของพระพุทธเจ้าเสียชีวิตแล้ว และมหาชนทูลว่า ขอพระองค์อย่าทรงคิดว่าพระมารดาและพระบิดาของพระองค์เสียชีวิตแล้ว
พระศาสดาไม่ทรงห้ามคนเหล่านั้นเลยว่า พวกเธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ทรงตรวจดูอัธยาศัยของบริษัทแล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้เหมาะแก่ขณะนั้น จึงตรัส ชราสูตร
ในกาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๘ หมื่น ๔ พันแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่ทราบความที่พราหมณ์และพราหมณีปรินิพพานแล้ว จึงทูลถามถึงภพหน้าของพราหมณ์และพราหมณีนั้นเป็นอย่างไร
พระศาสดาตรัสว่า ชื่อว่าอภิสัมปรายภพของพระอเสขมุนีทั้งหลายผู้เห็นปานนั้น ย่อมไม่มี เพราะว่าพระอเสขมุนีผู้เห็นปานนั้น ย่อมบรรลุมหานิพพาน อันไม่จุติ อันไม่ตาย
แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
มุนีเหล่าใดเป็นผู้ไม่เบียดเบียน สำรวมแล้วด้วยกายเป็นนิตย์
มุนีเหล่านั้นย่อมไปสู่ฐานะอันไม่จุติ ซึ่งเป็นที่คนทั้งหลายไปแล้วไม่เศร้าโศก
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
อ่าน
คาถาธรรมบท โกธวรรค
อรรถกถาเรื่อง ปัญหาที่ภิกษุทูลถาม