อิสิทัตตสูตร ๒
สมัยหนึ่ง จิตตคฤหบดีนิมนต์ภิกษุที่อยู่ที่อัมพาฏกวัน ใกล้ราวป่ามัจฉิกาสณฑ์ มารับภัตตาหารที่บ้าน เมื่อภิกษุทั้งหลายเข้าไปยังนิเวสน์ของจิตตคฤหบดี จิตตคฤหบดีได้ถามพระเถระผู้เป็นประธานว่า
ทิฐิหลายอย่างย่อมเกิดขึ้นในโลกดังนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง โลกไม่เที่ยงบ้าง โลกมีที่สุดบ้าง โลกไม่มีที่สุดบ้าง ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้นบ้างชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่นบ้าง สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีกบ้าง สัตว์ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีกบ้าง สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มีบ้าง สัตว์ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้บ้าง
เมื่ออะไรมี ทิฐิเหล่านี้จึงมี เมื่ออะไรไม่มี ทิฐิเหล่านี้จึงไม่มี
เมื่อจิตตคฤหบดีถามอย่างนี้ถึง ๓ ครั้งแต่พระเถระผู้เป็นประธานได้นิ่งอยู่ ท่านอิสิทัตตะเป็นผู้ใหม่กว่าทุกองค์ในภิกษุสงฆ์หมู่นั้น ได้ขอโอกาสกะพระเถระผู้เป็นประธานว่าขอพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นของจิตตคฤหบดี พระเถระอนุญาต
พระอิสิทัตตะตอบว่า เมื่อสักกายทิฐิมี ทิฐิเหล่านี้จึงมี เมื่อสักกายทิฐิไม่มี ทิฐิเหล่านี้จึงไม่มี
จิตตคฤหบดีได้ถามต่อไปว่า สักกายทิฐิย่อมเกิดมีได้อย่างไร
พระอิสิทัตตะตอบว่า ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑
เห็นตนมีรูป ๑
เห็นรูปในตน ๑
เห็นตนในรูป ๑
เห็นเวทนาโดยความเป็นตน ๑
เห็นตนมีเวทนา ๑
เห็นเวทนาในตน ๑
เห็นตนในเวทนา ๑
เห็นสัญญาโดยความเป็นตน ๑
เห็นตนมีสัญญา ๑
เห็นสัญญาในตน ๑
เห็นตนในสัญญา ๑
เห็นสังขารโดยความเป็นตน ๑
เห็นตนมีสังขาร ๑
เห็นสังขารในตน ๑
เห็นตนในสังขาร ๑
เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑
เห็นตนมีวิญญาณ ๑
เห็นวิญญาณในตน ๑
เห็นตนในวิญญาณ ๑
สักกายทิฐิย่อมเกิดมีได้อย่างนี้
สักกายทิฐิย่อมไม่เกิดมีได้อย่างไร
อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ ผู้ได้สดับแล้ว ได้เห็นพระอริยเจ้า ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้าได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมไม่เห็นรูปโดยความเป็นตน ๑
ไม่เห็นตนมีรูป ๑
ไม่เห็นรูปในตน ๑
ไม่เห็นตนในรูป ๑
ไม่เห็นเวทนาโดยความเป็นตน ๑
ไม่เห็นตนมีเวทนา ๑
ไม่เห็นเวทนาในตน ๑
ไม่เห็นตนในเวทนา ๑
ไม่เห็นสัญญาโดยความเป็นตน ๑
ไม่เห็นตนมีสัญญา ๑
ไม่เห็นสัญญาในตน ๑
ไม่เห็นตนในสัญญา ๑
ไม่เห็นสังขารโดยความเป็นตน ๑
ไม่เห็นตนมีสังขาร ๑
ไม่เห็นสังขารในตน ๑
ไม่เห็นตนในสังขาร ๑
ไม่เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑
ไม่เห็นตนมีวิญญาณ ๑
ไม่เห็นวิญญาณในตน ๑
ไม่เห็นตนในวิญญาณ ๑ ดู
สักกายทิฐิย่อมไม่เกิดมีได้อย่างนี้
จิตตคฤหบดีจึงถามว่าท่านอิสิทัตตะมาจากไหนและท่านตอบว่ามาจากอวันตีชนบท เมื่อได้รู้ว่าท่านอิสิทัตตะเป็นสหายของตนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงได้ขอให้ท่านชอบใจอัมพาฏกวัน ตนจักบำรุงด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัชบริขารแก่ท่าน
จิตตคฤหบดีชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของท่านอิสิทัตตะแล้ว ได้ถวายอาหารอันประณีตด้วยมือของตน
พระเถระผู้เป็นประธานได้กล่าวกะท่านอิสิทัตตะว่าปัญหาข้อนั้นแจ่มแจ้งแก่ท่าน มิได้แจ่มแจ้งแก่เรา ต่อไป ถ้าปัญหาเช่นนี้พึงมีมาแม้โดยประการอื่นในกาลใด ท่านอิสิทัตตะพึงกล่าวตอบปัญหาเช่นนั้นในกาลนั้น
ท่านอิสิทัตตะได้เก็บเสนาสนะ ถือเอาบาตรและจีวร เดินทางออกจากราวป่าชื่อมัจฉิกาสณฑ์ไม่ได้กลับมาอีก เหมือนกับภิกษุรูปอื่นที่ได้ออกเดินทางจากไป
อ่าน อิสิทัตตสูตรที่ ๒