จิตตหัตถิสาริปุตตสูตร
เมื่อท่านพระมหาโกฏฐิตะตักเตือนท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรให้คอยจนกว่าภิกษุผู้เถระสนทนาอภิธรรมกถากันให้จบเสียก่อน ไม่พูดสอดขึ้นในระหว่าง พวกภิกษุผู้เป็นสหายของท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร ได้กล่าวกับท่านมหาโกฏฐิตะว่าท่านพระมหาโกฏฐิตะรุกรานท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรเป็นบัณฑิต ย่อมสามารถกล่าวสนทนาอภิธรรมกถากับพวกภิกษุผู้เถระได้
ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้กล่าวว่าบุคคลผู้ไม่ทราบวาระจิตของผู้อื่นรู้ข้อนี้ได้ยาก
แล้วกล่าวต่อไปว่า บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นดุจสงบเสงี่ยม เป็นดุจอ่อนน้อม เป็นดุจสงบเรียบร้อย ตลอดเวลาที่อาศัยพระศาสดาหรือเพื่อนพรหมจรรย์ ผู้อยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่งอยู่ แต่ว่าเมื่อใดเขาหลีกออกไปจากผู้อยู่ในฐานะครู คลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชามหาอมาตย์ของพระราชา พวกเดียรถีย์ พวกสาวกเดียรถีย์
เมื่อเขาคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่ ปล่อยจิต ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุย ราคะย่อมรบกวนจิต เขามีจิตถูกราคะรบกวน ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์
เปรียบเหมือนโคที่เคยกินข้าวกล้า ถูกเขาผูกไว้ด้วยเชือกหรือขังไว้ในคอก ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า โคที่เคยกินข้าวกล้าตัวนี้จักไม่ลงกินข้าวกล้าอีก ผู้นั้นไม่กล่าวโดยชอบ โคที่เคยกินข้าวกล้าตัวนั้นพึงดึงเชือกขาดหรือแหกคอกแล้ว ลงไปกินข้าวกล้าอีกทีเดียว
บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุปฐมฌาน เขากล่าวว่า เราได้ปฐมฌาน (แต่) คลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์
เปรียบเหมือนฝนเม็ดใหญ่ (ลูกเห็บ) ตกลงที่ทางใหญ่สี่แพร่ง พึงยังฝุ่นให้หายไป ปรากฏเป็นทางลื่น ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้ ฝุ่นจักไม่ปรากฏที่ทางใหญ่สี่แพร่งโน้นอีก ผู้นั้นไม่กล่าวโดยชอบ มนุษย์หรือโคและสัตว์เลี้ยงพึงเหยียบย่ำที่ทางใหญ่สี่แพร่งแห่งโน้น หรือลมและแดดพึงแผดเผาให้แห้ง เมื่อเป็นเช่นนั้น ฝุ่นพึงปรากฏอีกทีเดียว
บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุทุติยฌาน เขาย่อมกล่าวว่า เราเป็นผู้ได้ทุติยฌาน (แต่) ยังคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์
เปรียบเหมือนฝนเม็ดใหญ่ ตกลงที่สระใหญ่ใกล้บ้านหรือนิคม พึงยังหอยกาบและหอยโข่ง ก้อนกรวดและกระเบื้องให้หายไป ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้ หอยกาบ หอยโข่ง ก้อนกรวดและกระเบื้อง จักไม่ปรากฏในสระอีก ผู้นั้นไม่กล่าวโดยชอบ มนุษย์หรือโคและสัตว์เลี้ยงพึงดื่มที่สระแห่งโน้น หรือลมและแดดพึงแผดเผาให้แห้ง เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งหอยกาบและหอยโข่ง ทั้งก้อนกรวดและกระเบื้อง พึงปรากฏได้อีกทีเดียว
บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุตติยฌาน เขาย่อมกล่าวว่า เราได้ตติยฌาน (แต่) ยังคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์
เปรียบเหมือนอาหารค้างคืน ไม่เป็นที่ชอบใจแก่บุรุษผู้บริโภคอาหารประณีต ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้ อาหารไม่เป็นที่ชอบใจแก่บุรุษชื่อโน้นอีก ผู้นั้นไม่กล่าวโดยชอบ อาหารอื่นจักไม่ชอบใจแก่บุรุษผู้โน้นผู้บริโภคอาหารประณีต ตลอดเวลาที่โอชารสแห่งอาหารนั้นดำรงอยู่ในร่างกายของเขา แต่เมื่อใด โอชารสแห่งอาหารนั้นจักหมดไป เมื่อนั้น อาหารนั้นพึงเป็นที่ชอบใจเขาอีก
บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุจตุตถฌาน เขากล่าวว่าเราได้จตุตถฌาน (แต่ว่า) ยังคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ฯลฯ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์
ปรียบเหมือนห้วงน้ำในที่ไม่ถูกลม ปราศจากคลื่น ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้ คลื่นจักไม่มีปรากฏที่ห้วงน้ำแห่งโน้นอีก ผู้นั้นไม่กล่าวโดยชอบ ลมฝนที่แรงกล้าก็พึงพัดให้เกิดคลื่นขึ้นที่ห้วงน้ำแห่งนั้น
บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ เขาย่อมกล่าวว่า เราได้เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต แต่ยังคลุกคลีด้วยหมู่ เมื่อเขาคลุกคลีด้วยหมู่ ปล่อยจิต ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุยอยู่ ราคะย่อมรบกวนจิตเขา เขามีจิตถูกราคะ
รบกวนแล้ว ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์
เปรียบเหมือนพระราชาหรือมหาอมาตย์ของพระราชา มีจตุรงคเสนาเดินทางไกล ไปพักแรมคืนอยู่ที่ป่าทึบแห่งหนึ่ง ในป่าทึบแห่งนั้น เสียงจักจั่นเรไรพึงหายไปเพราะเสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงพลเดินเท้า เสียงกึกก้องแห่งกลอง บัณเฑาะว์ สังข์และพิณ ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้ ที่ป่าทึบแห่งโน้น เสียงจักจั่นเรไร จักไม่ปรากฏอีก ผู้นั้นไม่กล่าวโดยชอบ เมื่อใด พระราชาหรือมหาอมาตย์ของพระราชา พ้นไปจากป่าทึบแห่งนั้น เมื่อนั้น เสียงจักจั่นเรไร พึงปรากฏได้อีก
สมัยต่อมา ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร ลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ พวกภิกษุผู้เป็นสหายของบุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตร ได้เข้าไปหาท่านพระมหาโกฏฐิตะถึงที่อยู่ แล้วถามว่า ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้กำหนดรู้ใจบุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรด้วยใจว่าจิตตหัตถิสารีบุตรเป็นผู้ได้วิหารสมาบัติเหล่านี้จักลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ หรือเทวดาทั้งหลายได้แจ้งเนื้อความนี้ว่า บุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรเป็นผู้ได้วิหารสมาบัติเหล่านี้และจักลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์
ท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวว่าท่านได้กำหนดรู้ใจบุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรด้วยใจ และแม้เทวดาก็บอก
พวกภิกษุผู้เป็นสหายของบุรุษชื่อจิตตหัตถิสารีบุตร ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้กราบทูลว่า จิตตหัตถิสารีบุตรเป็นผู้ได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ได้ลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่นานนักจิตตหัตถิสารีบุตรจักระลึกถึงคุณแห่งเนกขัมมะได้
ไม่นานเท่าไร ชื่อจิตตหัตถิสารีบุตรก็ออกบวชเป็นบรรพชิต ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตรหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตแน่วแน่ ไม่นานนัก ก็ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม
ท่านพระจิตตหัตถิสารีบุตร ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย
อ่านพระสูตรเต็ม จิตตหัตถิสาริปุตตสูตร