ชัมพุขาทกสังยุตต์
พระสารีบุตรตอบว่า
นิพพาน คือ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ
อรหัต คือ ธรรมเป็นที่สิ้นราคะ ธรรมเป็นที่สิ้นโทสะ ธรรมเป็นที่สิ้นโมหะ
ผู้ใดแสดงธรรมเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ ผู้นั้นเป็นธรรมวาทีในโลก
ผู้ใดปฏิบัติเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ ผู้นั้นเป็นผู้ปฏิบัติดีในโลก
ผู้ใดละราคะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ไปดีแล้วในโลก
ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อกำหนดรู้ทุกข์
บุคคลถึงความความโล่งใจเมื่อบุคคลรู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งผัสสายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง
บุคคลถึงความโล่งใจอย่างยิ่งเมื่อบุคคลรู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งผัสสายตนะ ๖ เป็นผู้หลุดพ้น เพราะไม่ถือมั่น
เวทนา คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา
อาสวะ ๓ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ
อวิชชาคือ ความไม่รู้ในทุกข์ ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ในความดับทุกข์ ในปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับทุกข์
ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
โอฆะ ๔ ประการคือ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ
อุปาทาน ๔ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน
ภพ ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
สภาพทุกข์ ๓ ประการ คือทุกข์ คือสังขาร คือความแปรปรวน
สักกายะคือ อุปาทานขันธ์ ๕
อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ตั้งสติชอบ ตั้งใจชอบ เป็นมรรค เป็นปฏิปทาเพื่อ
กระทำนิพพานให้แจ้ง
กระทำอรหัตให้แจ้ง
เพื่อละราคะ โทสะ โมหะ
เพื่อกำหนดรู้ทุกข์
เพื่อกระทำความโล่งใจให้แจ้ง
เพื่อกระทำความโล่งใจอย่างยิ่งนั้นให้แจ้ง
เพื่อกำหนดรู้เวทนา ๓ อย่าง
เพื่อละอาสวะ
เพื่อละอวิชชา
เพื่อละตัณหา
เพื่อละโอฆะ
เพื่อละอุปาทาน
เพื่อกำหนดรู้ภพ
เพื่อกำหนดรู้สภาพทุกข์
เพื่อกำหนดรู้สักกายะ
อะไรที่ทำได้ยาก
การบวช กระทำได้ยาก
เมื่อบวชแล้ว ความยินดียิ่งกระทำได้ยาก
เมื่อยินดียิ่งแล้ว การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมกระทำได้ยาก
เมื่อปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว จะพึงเป็นพระอรหันต์ได้ไม่นานนัก
อ่าน ชัมพุขาทกสังยุตต์