การไม่สำรวมอินทรีย์
พระมหากาลเมื่อได้บรรพชาแล้ว ต้องการบำเพ็ญวิปัสสนาธุระให้บริบูรณ์ ทูลขอให้พระพุทธองค์ตรัสบอกโสสานิกธุดงค์จนถึงพระอรหัต แล้วเข้าปฏิบัติในป่าช้า วันหนึ่ง ได้ทำการพิจารณาซากศพของหญิงสาวที่ถูกเผา ได้เจริญวิปัสสนาจนบรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
ส่วนพระจุลกาลเถระรัญจวนถึงฆราวาส คิดถึงบุตรและภรรยา ภรรยาของพระจุลกาลได้ออกอุบายจับสามีของตนสึก พระจุลกาลจึงสึก
ฝ่ายภรรยาของพระมหากาลเห็นว่าภรรยาของพระจุลกาลรุมจับพระจุลกาลสึกได้ จึงต้องการจับพระมหากาลสึกบ้าง พระมหากาลกำหนดอาการของหญิงเหล่านั้นได้แล้ว ลุกจากอาสนะแล้วเหาะไปด้วยฤทธิ์ ทำลายช่อฟ้าเรือนยอดไปทางอากาศ
พระศาสดาตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า จุลกาลมากไปด้วยอารมณ์ว่างามอยู่ เป็นเช่นกับต้นไม้ที่มีกำลังไม่แข็งแรง ตั้งอยู่ริมเหว ส่วนมหากาลตามเห็นอารมณ์ว่าไม่งามอยู่ เป็นผู้ไม่หวั่นไหวเลย เหมือนภูเขาหินแท่งทึบ แล้วได้ภาษิตพระคาถาว่า
ผู้ตามเห็นอารมณ์ว่างาม ไม่สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้ประมาณในโภชนะ เกียจคร้าน มีความเพียรเลวทรามอยู่ ผู้นั้นแล มารย่อมรังควานได้ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกำลังไม่แข็งแรง ลมรังควานได้ ฉะนั้น
ส่วนผู้ตามเห็นอารมณ์ว่าไม่งาม สำรวมดีในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะ มีศรัทธาและปรารภความเพียรอยู่ ผู้นั้นแล มารย่อมรังควานไม่ได้, เปรียบเหมือนภูเขาหิน ลมรังควานไม่ได้ ฉะนั้น
ในกาลจบคาถา ภิกษุผู้ประชุมกันดำรงอยู่ในอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น
คาถาธรรมบท ยมกวรรค
อรรถกถาเรื่อง จุลกาลและมหากาล