ความโศกเกิดจากตัณหา
พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่ง ถางนาอยู่ฝั่งแม่น้ำ พระศาสดาทรงเห็นความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัยของเขา จึงได้เสด็จไปหาเขา เมื่อเขาเห็นพระศาสดาแล้ว ก็ไม่ทำสามีจิกรรมเลย ได้นิ่งเสีย พระศาสดาตรัสทักเขาก่อนว่ากำลังทำอะไร พราหมณ์ทูลว่ากำลังแผ้วถางนาอยู่ พระศาสดาตรัสเพียงเท่านั้นแล้วก็เสด็จไป
ในวันรุ่งขึ้น พระศาสดาเสด็จไปหาเขา ซึ่งกำลังไถนาอยู่ ตรัสถามพราหมณ์ว่าทำอะไรอยู่ พราหมณ์นั้นทูลว่ากำลังไถนา ดังนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไป แม้ในวันต่อมา พระศาสดาก็เสด็จไป ตรัสถามเหมือนอย่างนั้น เขาทูลว่ากำลังหว่าน กำลังไขน้ำ กำลังรักษานา ดังนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไป
วันหนึ่ง พราหมณ์กราบทูลพระองค์ว่าพระองค์เสด็จมาตั้งแต่วันที่เขาแผ้วถางนา ถ้าข้าวกล้าของเขาเผล็ดผล เขาจะแบ่งปันแก่พระองค์บ้าง ถ้ายังไม่ให้พระองค์ เขาก็จักไม่เคี้ยวกิน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พระองค์เป็นสหายของเขา
ต่อมา ข้าวกล้าของพราหมณ์นั้นเผล็ดผลแล้ว พราหมณ์นั้นเตรียมตัวเกี่ยวข้าวและตั้งใจว่าจะเกี่ยวข้าวพรุ่งนี้ แต่ในคืนนั้น พายุฝนหนักพัดเอาข้าวกล้าไปหมด วันรุ่งขึ้น เมื่อพราหมณ์เห็นแต่นาเปล่า เกิดความโศกเป็นกำลัง คิดว่า ได้เคยทูลกับพระศาสดาว่าจะแบ่งข้าวให้และถ้ายังไม่ให้ก็จะไม่เคี้ยวกิน เมื่อไม่สามารถทำตามความปรารถนาในใจของเขา พราหมณ์นั้นจึงทำการอดอาหาร นอนบนเตียง
พระศาสดาเสด็จไปที่เรือนของพราหมณ์เพื่อตรัสถามข่าวพราหมณ์ พราหมณ์ได้ทูลว่าเขาได้เคยกล่าวว่าจะแบ่งข้าวกล้าถวายพระองค์บ้าง แต่ความปรารถนาในใจของเขาไม่สำเร็จเสียแล้ว เพราะเหตุนั้น ความโศกจึงเกิดแก่เขา และแม้ภัตเขาก็ไม่หิว
พระศาสดาได้ตรัสเหตุแห่งความโศกแก่พราหมณ์ว่า ความโศกก็ดี ภัยก็ดี เมื่อจะเกิด ย่อมอาศัยตัณหาจึงเกิดขึ้น
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
ความโศกย่อมเกิดเพราะตัณหา ภัยย่อมเกิดเพราะตัณหา ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้วจากตัณหา ภัยจักมีแต่ไหน
ในกาลจบเทศนา พราหมณ์ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล
อ่าน พราหมณ์คนใดคนหนึ่ง
อ่าน คาถาธรรมบท ปิยวรรค