มิตร ๒ จำพวก คือ
(๑) มิตรคฤหัสถ์ ๑ มิตรบรรพชิต ๑
มิตรคฤหัสถ์ เป็นไฉน
คฤหัสถ์บางคนในโลกนี้
ย่อมให้ของที่ให้กันยาก
ย่อมสละของที่สละกันยาก
ย่อมทำกิจที่ทำกันยาก
ย่อมอดทนอารมณ์ที่อดทนกันยาก
ย่อมบอกความลับแก่มิตร
ย่อมปิดบังความลับของมิตร
ย่อมไม่ละทิ้งในคราวที่มีอันตราย ถึงชีวิตก็ยอมสละเพื่อประโยชน์แก่มิตร
เมื่อมิตรหมดสิ้น (ยากจน) ก็ไม่ดูหมิ่น
นี้ชื่อว่ามิตรคฤหัสถ์
มิตรบรรพชิต เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้
เป็นที่รัก
เป็นที่ชอบใจ
เป็นที่เคารพ
เป็นผู้ควรแก่ความสรรเสริญ
เป็นผู้อดทนถ้อยคำ
เป็นผู้ทำถ้อยคำลึก
และย่อมไม่ชักชวนในเหตุอันไม่ควร
ย่อมชักชวนในอธิศีล
ย่อมชักชวนในการขวนขวายบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗
ย่อมชักชวนในการขวนขวายบำเพ็ญอริยมรรคมีองค์ ๘
นี้ชื่อว่ามิตรบรรพชิต
ความเป็นผู้มีมิตรดี
(๒) บุคคลเหล่าใดมีศรัทธา มีศีล เป็นพหูสูต มีการบริจาค มีปัญญา การเสวนะ การเข้าไปเสวนะ การซ่องเสพ การคบ การคบหา การภักดี การภักดีด้วย ความเป็นผู้คบหาสมาคมบุคคลเหล่านั้น นี้เรียกว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี
บุคคลผู้ประกอบแล้วด้วยความเป็นผู้มีมิตรดี นี้ชื่อว่า เป็นผู้มีมิตรดี
ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว
(๓) บุคคลเหล่าใดเป็นผู้ไม่มีศรัทธา เป็นผู้ทุศีล มีสุตะน้อย เป็นผู้ตระหนี่ มีปัญญาทราม การเสวนะ การเข้าไปเสวนะ การซ่องเสพ การคบ การคบหา การภักดี การภักดีด้วย ความเป็นผู้คบหาสมาคมกับบุคคลเหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่า ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว
บุคคลประกอบด้วยความเป็นผู้มีมิตรชั่วนี้ เรียกว่า ผู้มีมิตรชั่ว
ความเป็นผู้มีมิตรดี เป็นลักษณะของคนดี
(๔) ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี แม้นี้ ก็เป็นลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา
(๕) บุคคลละธรรม ๓ ประการแล้ว จึงอาจละความเป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้มีมิตรชั่วได้ คือ
ความเป็นผู้ไม่มีความละอาย ๑
ความเป็นผู้ไม่มีความเกรงกลัว ๑
ความประมาท ๑
(๖) ถ้าผู้ใดเป็นมิตร แม้จะมีกำลังน้อย แต่ตั้งอยู่ในมิตรธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเป็นญาติ เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นมิตร และเป็นสหาย
เหตุให้มีมิตรมาก มิตรน้อย
(๗) ผู้มีศีล มีความสำรวม ย่อมได้มิตรมาก ส่วนผู้ทุศีล ประพฤติแต่กรรมอันลามก ย่อมแตกจากมิตร (พระสีลวเถระ)
(๘) วิบากแห่งวาจาส่อเสียด อย่างเบาที่สุดก็เป็นไปพร้อมเพื่อความแตกจากมิตร เมื่อเกิดเป็นมนุษย์
มิตรเทียมและมิตรแท้
(๙) เพื่อนในโรงสุราก็มี เพื่อนดีแต่พูดก็มี เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ผู้ใดเป็นเพื่อนได้ ผู้นั้นจัดว่าเป็นเพื่อนแท้
มิตรเทียม
คน ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ
คนนำสิ่งของ ๆ เพื่อนไปอย่างเดียว (คนปอกลอก) ๑
คนดีแต่พูด ๑
คนหัวประจบ ๑
คนชักชวนในทางฉิบหาย ๑
ท่านพึงทราบว่า ไม่ใช่มิตร เป็นมิตรเทียม
คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นมิตรเทียม โดยสถาน ๔ คือ
เป็นคนคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๑
เสียให้น้อยคิดเอาให้ได้มาก ๑
ไม่รับทำกิจของเพื่อนในคราวมีภัย ๑
คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๑
คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่า ไม่ใช่มิตร เป็นมิตรเทียม โดยสถาน ๔ คือ
เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย ๑
อ้างเอาของที่ยังไม่มาถึงมาปราศรัย ๑
สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑
เมื่อเรื่องเกิดขึ้น แสดงความขัดข้อง (ออกปากพึ่งมิได้) ๑
คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นมิตรเทียม โดยสถาน ๔ คือ
ตามใจเพื่อนให้ทำความชั่ว (จะทำชั่วก็คล้อยตาม) ๑
ตามใจเพื่อนให้ทำความดี (จะทำดีก็คล้อยตาม) ๑
ต่อหน้าสรรเสริญ ๑
ลับหลังนินทา ๑
คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่า ไม่ใช่มิตร เป็นมิตรเทียม โดยสถาน ๔ คือ
ชักชวนให้ดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่าง ๆ ในเวลากลางคืน ๑
ชักชวนให้เที่ยวดูการมหรสพ ๑
ชักชวนให้เล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
บัณฑิตรู้แจ้งมิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรปอกลอก ๑ มิตรดีแต่พูด ๑ มิตรหัวประจบ ๑ มิตรชักชวนในทางฉิบหาย ๑ ว่าไม่ใช่มิตรแท้ ดังนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทางเว้นทางที่มีภัย ฉะนั้น
มิตรแท้
มิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ
มิตรมีอุปการะ ๑
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑
มิตรแนะประโยชน์ ๑
มิตรมีความรักใคร่ ๑
ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี (เป็นมิตรแท้)
มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑
รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑
เมื่อมีภัย เป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑
เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้น เพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า (เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก) ๑
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
บอกความลับ (ของตน) แก่เพื่อน ๑
ปิดความลับของเพื่อน ๑
ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย ๑
แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ๑
มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
ห้ามจากความชั่ว ๑
ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑
ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑
บอกทางสวรรค์ให้ ๑
มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน ๑
ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน ๑
ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน ๑
สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน ๑
บัณฑิตรู้แจ้งมิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ว่าเป็นมิตรแท้ ฉะนี้แล้ว พึงเข้าไปนั่งใกล้โดยเคารพ เหมือนมารดากับบุตร ฉะนั้น
การเลือกคนคบ
(๑๐) การไม่คบคนพาล การคบบัณฑิต เป็นอุดมมงคล
(๑๑) บุคคลปรารถนาความสุขอันแน่นอน พึงเว้นบาปมิตรแล้ว พึงคบหากัลยาณมิตร และพึงตั้งอยู่ในโอวาทของกัลยาณมิตรนั้น
เต่าตาบอดเกาะขอนไม้เล็กๆ จมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่ ฉันใด กุลบุตรอาศัยคนเกียจคร้านเป็นอยู่ ย่อมจมลงในสังสารวัฏ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลพึงเว้นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม ควรอยู่ร่วมกับบัณฑิตทั้งหลายผู้สงัด เป็นอริยะ มีใจเด็ดเดี่ยว เพ่งฌาน ปรารภความเพียรเป็นนิตย์ (พระวิมลเถระ)
(๑๒) เธอทั้งหลายพึงทำความขัดเกลาว่า ชนเหล่าอื่นจักมีมิตรชั่ว ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีกัลยาณมิตร
(๑๓) เธอทั้งหลายพึงคบมิตรผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการ คือ
มิตรผู้ให้ของที่ให้ได้ยาก ๑
รับทำกิจที่ทำได้ยาก ๑
อดทนถ้อยคำที่อดใจได้ยาก ๑
บอกความลับของตนแก่เพื่อน ๑
ปิดความลับของเพื่อน ๑
ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ ๑
เมื่อเพื่อนสิ้นโภคสมบัติก็ไม่ดูหมิ่น ๑
เธอทั้งหลายพึงคบมิตรผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ ประการนี้แล
ฐานะทั้ง ๗ เหล่านี้ มีอยู่ในบุคคลใด บุคคลนั้นเป็นมิตรแท้ ผู้ประสงค์จะคบมิตร ก็ควรคบมิตรเช่นนั้น
(๑๔) บัณฑิตไม่ควรทำตนให้เป็นมิตรสหายกับคนที่ชอบส่อเสียด มักโกรธ ตระหนี่ และผู้ปรารถนาให้ผู้อื่นพินาศ เพราะการสมาคมกับคนชั่วเป็นความลามก
แต่บัณฑิตควรทำตนให้เป็นมิตรสหายกับคนผู้มีศรัทธา มีศีลน่ารัก มีปัญญา และเป็นคนได้สดับเล่าเรียนมามาก เพราะการสมาคมกับคนดี ย่อมมีแต่ความเจริญอย่างเดียว
(๑๕) บุคคลพึงเห็นบุคคลใด ผู้มักชี้โทษ เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ มักกล่าวข่มขี่ มีปัญญา พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิตเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ โทษที่ลามกย่อมไม่มี
บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอนและพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั้น ย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย แต่ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ
บุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่ควรคบบุรุษอาธรรม์ (ไม่เที่ยงธรรม) ควรคบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด
(๑๖) บุคคลผู้ไม่มีหิริ เกลียดหิริ กล่าวอยู่ว่าเราเป็นเพื่อนของท่าน ไม่เอื้อเฟื้อการงานแห่งมิตรของตน พึงรู้ว่านั่นไม่ใช่มิตร
มิตรใดพูดวาจาน่ารัก แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ในมิตรทั้งหลาย บัณฑิตย่อมกำหนดรู้ผู้นั้น ว่าไม่ทำตามคำพูด
มิตรใดหวังความแตกกัน ไม่ประมาท คอยหาความผิดเท่านั้น มิตรนั้นไม่ควรเสพ
ส่วนมิตรที่วางใจได้ เหมือนบุตรที่เกิดแต่อก ซึ่งผู้อื่นกล่าวเหตุตั้งร้อยอย่างพันอย่าง ก็ให้แตกกันไม่ได้ มิตรนั้น ควรเสพ
(๑๗) ผู้ใดพึงคุ้นเคยกะเจ้าก็ดี พึงอดทนความคุ้นเคยของเจ้าได้ก็ดี เชื่อถือคำพูดของเจ้าก็ดี งดโทษให้ก็ดี ไปจากที่นี้แล้ว จงคบหาผู้นั้นเถิด
ผู้ใดไม่มีกรรมชั่วด้วยกาย วาจาและใจ จงคบหาผู้นั้น ทำตนให้เหมือนบุตรผู้เกิดจากอกของผู้นั้นเถิด
คนที่มีจิตเหมือนน้ำย้อมขมิ้น มีจิตกลับกลอก รักง่ายหน่ายเร็ว อย่าคบหาคนเช่นนั้นเลย ถึงพื้นชมพูทวีปทั้งหมดจะไม่มีมนุษย์ก็ตาม
(๑๘) ศัตรูผู้ประกอบด้วยปัญญายังดีกว่า มิตรผู้ไม่มีปัญญาจะดีอะไร เหมือนบุตรของช่างไม้ผู้โง่เขลา คิดว่าจะตียุง ได้ตีศีรษะของบิดาแตกสองเสี่ยง ฉะนั้น
(๑๙) ความเกษมจากโยคะย่อมเสื่อมไปเพราะการคบหากับมิตรคนใด บัณฑิตพึงรักษาลาภ ยศ และชีวิตของตน ที่มิตรนั้นครอบงำได้ไว้เสียก่อน ดุจบุคคลผู้รักษาตาของตนไว้ ฉะนั้น
ความเกษมจากโยคะย่อมเจริญเพราะการคบหากับมิตรคนใด บุรุษผู้ฉลาดในกิจทั้งมวลพึงกระทำกิจทุกอย่างของกัลยาณมิตรให้เหมือนของตน
(๒๐) ไม่พึงคบหาสมาคมกับผู้ที่เขาไม่พอใจจะคบหาสมาคมด้วย พึงละทิ้งผู้ที่เขาละทิ้ง ไม่พึงทำความสิเนหาในผู้เลิกรากัน ไม่พึงสมาคมกับผู้มีจิตคิดออกห่าง นกรู้ว่า ต้นไม้มีผลหมดแล้ว ย่อมบินไปสู่ต้นอื่นที่เต็มไปด้วยผล ฉันใด คนก็ฉันนั้น รู้ว่า เขาหมดความอาลัยแล้ว ก็ควรจะเลือกหาคนอื่นที่เขาผู้สมัครรักใคร่ เพราะว่า โลกใหญ่พอ
(๒๑) ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ ควรเสพ ควรคบเป็นมิตร ควรเข้าไปนั่งใกล้ แม้ถูกขับไล่ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุเป็นที่รักใคร่พอใจ ๑
เป็นที่เคารพ ๑
เป็นผู้ควรสรรเสริญ ๑
เป็นผู้ฉลาดพูด ๑
เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ ๑
พูดถ้อยคำลึกซึ้ง ๑
ไม่ชักนำในทางที่ไม่ดี ๑
ฐานะทั้ง ๗ เหล่านี้มีอยู่ในภิกษุใด ภิกษุนั้นเป็นมิตรแท้ มุ่งอนุเคราะห์แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ผู้ประสงค์จะคบมิตร ควรคบมิตรเช่นนั้น แม้จะถูกขับไล่
(๒๒) ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ไม่ควรคบเป็นมิตร ธรรม ๕ ประการ คือ
ภิกษุย่อมใช้ให้ทำการงาน ๑
ย่อมก่ออธิกรณ์ ๑
ย่อมเป็นผู้โกรธตอบต่อภิกษุผู้เป็นประธาน ๑
ย่อมประกอบการจาริกไปในที่ไม่ควรตลอดกาลนาน ๑
เป็นผู้ไม่สามารถ เพื่อยังภิกษุให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน
ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาโดยกาลสมควร ๑
ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ควรคบเป็นมิตร ธรรม ๕ ประการ คือ
ภิกษุย่อมไม่ใช้ให้ทำการงาน ๑
ไม่ก่ออธิกรณ์ ๑
ไม่โกรธตอบต่อภิกษุผู้เป็นประธาน ๑
ไม่ประกอบการจาริกในที่ไม่ควรตลอดกาลนาน ๑
เป็นผู้สามารถ เพื่อยังภิกษุให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน
ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาโดยกาลสมควร ๑
(๒๓) บุคคล ๓ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๓ จำพวกเป็นไฉน คือ
๑. บุคคลที่น่าเกลียด ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าไปนั่งใกล้ มีอยู่
๒. บุคคลที่ควรวางเฉย ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าไปนั่งใกล้ มีอยู่
๓. บุคคลที่ควรเสพ ควรคบ ควรเข้าไปนั่งใกล้ มีอยู่
บุคคลที่น่าเกลียด ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าไปนั่งใกล้ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทุศีล มีธรรมเลวทราม ไม่สะอาด มีความประพฤติน่ารังเกียจ มีการงานลึกลับ ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารีบุคคล แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารีบุคคล เน่าในภายใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเหมือนหยากเยื่อ บุคคลเห็นปานนี้ควรเกลียด ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าไปนั่งใกล้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะแม้บุคคลจะไม่ถึงทิฏฐานุคติของบุคคลเห็นปานนี้ก็จริง แต่กิตติศัพท์ที่ไม่ดีของเขา ก็ย่อมระบือไปว่า เป็นผู้มีคนชั่วเป็นมิตร มีคนชั่วเป็นสหาย มีคนชั่วเป็นเพื่อน เปรียบเหมือนงูที่จมอยู่ในคูถ ถึงแม้จะไม่กัด แต่ก็ทำให้เปื้อนได้ ฉะนั้น บุคคลเห็นปานนี้ จึงน่าเกลียด ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าไปนั่งใกล้
บุคคลที่ควรวางเฉย ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าไปนั่งใกล้ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้โกรธ มากด้วยความแค้นใจ เมื่อถูกว่าแม้เพียงเล็กน้อยก็ข้องใจ โกรธเคือง พยาบาท ขึ้งเคียด ทำความโกรธ ความขัดเคือง และความโทมนัสให้ปรากฏ
เปรียบเหมือนหลุมคูถ ถูกไม้หรือกระเบื้องกระทบเข้า ย่อมมีกลิ่นเหม็นฟุ้งขึ้น บุคคลเห็นปานนี้ ควรวางเฉย ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าไปนั่งใกล้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขาพึงด่าบ้าง บริภาษบ้าง ทำความพินาศให้เราบ้าง ฉะนั้น บุคคลเห็นปานนี้ จึงควรวางเฉย ไม่ควรเสพ ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าไปนั่งใกล้
บุคคลที่ควรเสพ ควรคบ ควรเข้าไปนั่งใกล้ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม บุคคลเห็นปานนี้ ควรเสพ ควรคบ ควรเข้าไปนั่งใกล้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะแม้จะไม่ถึงทิฏฐานุคติของบุคคลเห็นปานนี้ก็ตาม ถึงกระนั้น ชื่อเสียงที่ดีงามของเขาก็จะระบือไปว่า เป็นผู้มีคนดีเป็นมิตร มีคนดีเป็นสหาย มีคนดีเป็นเพื่อน ฉะนั้น บุคคลเห็นปานนี้ จึงควรเสพ ควรคบ ควรเข้าไปนั่งใกล้
บุรุษคบคนเลว ย่อมเลวลง คบคนที่เสมอกัน ย่อมไม่เสื่อมในกาลไหน ๆ คบคนที่สูงกว่า ย่อมพลันเด่นขึ้น เพราะฉะนั้น จึงควรคบคนที่สูงกว่าตน
(๒๔) บุคคลที่ควรเสพก็มี ไม่ควรเสพก็มี
ในบุคคล ๒ จำพวก พึงรู้บุคคลใดว่า เมื่อเราเสพบุคคลนี้ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม บริขารแห่งชีวิตเหล่าใด คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร อันผู้เป็นบรรพชิตรวบรวมไว้ บริขารแห่งชีวิตเหล่านั้นเกิดขึ้นได้โดยยาก และเราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์แห่ง
ความเป็นสมณะใด ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะนั้น ไม่ถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนา บุคคลนั้นรู้ในกลางคืน ก็ไม่ต้องลา พึงหลีกไปเสียในกลางคืน หรือรู้ในกลางวัน ก็ไม่ต้องลา พึงหลีกไปเสียในกลางวัน ไม่พึงติดตามบุคคลนั้น
พึงรู้บุคคลใดว่า เมื่อเราเสพบุคคลผู้นี้ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ ก็บริขารแห่งชีวิตเหล่าใด คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร อันผู้เป็นบรรพชิตรวบรวมไว้ บริขารแห่งชีวิตเหล่านั้นเกิดขึ้นโดยไม่ยาก และเราออกบวชเป็นบรรพชิต เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นสมณะใด ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะนั้น ย่อมถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนา บุคคลนั้นรู้แล้ว แม้ถูกขับไล่ ก็พึงติดตามบุคคลนั้นไปจนตลอดชีวิต ไม่พึงหลีกเลี่ยงไปเสีย
คนที่ไม่ควรให้ความสนิทสนมด้วย
(๒๕) บุคคลไม่พึงคุ้นเคยในคนทำบาป คนมักพูดเหลาะแหละคนมีปัญญาคิดแต่ประโยชน์ตน และคนทำเป็นสงบแต่ภายนอก
มีบุรุษพวกหนึ่ง มีปกติเหมือนโคกระหายน้ำ ทำทีเหมือนจะกล้ำกลืนมิตรด้วยวาจา แต่ไม่ใช้ด้วยการงานไม่ควรคุ้นเคยในคนเช่นนั้น
บุรุษพวกหนึ่ง เป็นคนชูมือเปล่า พัวพันอยู่แต่ด้วยวาจา เป็นมนุษย์กระพี้ ไม่มีความกตัญญู ไม่ควรคุ้นเคยในคนเช่นนั้น
บุคคลไม่ควรคุ้นเคยต่อหญิง หรือบุรุษ ผู้มีจิตกลับกลอก ไม่ทำความข้องเกี่ยวให้แจ้งชัด
ไม่ควรคุ้นเคยกับบุคคล ผู้หยั่งลงสู่กรรมอันไม่ประเสริฐ เป็นคนไม่แน่นอน กำจัดคนไม่เลือก เหมือนดาบที่เขาลับแล้วปกปิดไว้ ฉะนั้น
คนบางพวกในโลกนี้ คอยเพ่งโทษ เข้าไปหาด้วยอุบายต่าง ๆ ด้วยคำพูดอันคมคายซึ่งไม่ตรงกับน้ำใจ ด้วยสามารถแห่งมิตรเทียม แม้คนเช่นนี้ ก็ไม่ควรคุ้นเคย
คนมีปัญญาทรามเช่นนั้น พบเห็นอามิส หรือทรัพย์เข้า ณ ที่ใด ย่อมคิดประทุษร้าย และย่อมละทิ้งเพื่อนนั้นไป แม้คนเช่นนั้น ก็ไม่ควรคุ้นเคย
มีคนเป็นจำนวนมาก ที่ปลอมเป็นมิตรคบหา บุคคลพึงละบุรุษชั่วเหล่านั้นเสีย เหมือนไก่ละเหยี่ยว ฉะนั้น
นรชนผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา ควรละเว้นบุคคลผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม มักทำการกำจัดอยู่เป็นนิตย์ ดังแร้วที่เขาดักไว้ในป่าเช่นนั้นเสียให้ห่างไกล เหมือนไก่ในป่าไผ่ ละเว้นเหยี่ยว ฉะนั้น
(๒๖) ความกตัญญูไม่มีในคนใด การคบคนนั้นย่อมไร้ประโยชน์ บุคคลไม่ได้มิตรธรรมด้วยอุปการคุณที่ตนประพฤติในผู้ใด ผู้นั้น บัณฑิตไม่ต้องริษยา ไม่ต้องด่าว่า พึงค่อย ๆ หลีกออกห่างจากผู้นั้นไปเสีย
คบคนเช่นไร ย่อมเป็นเช่นนั้น
(๒๗) ถ้าว่าบุคคลแม้ไม่กระทำความชั่ว แต่เข้าไปเสพบุคคลผู้กระทำความชั่วอยู่ไซร้ บุคคลนั้น เป็นผู้อันบุคคลพึงรังเกียจในเพราะความชั่ว และโทษของบุคคลผู้เสพคนชั่วนี้ ย่อมงอกงาม
บุคคลย่อมกระทำบุคคลเช่นใดให้เป็นมิตร และย่อมเข้าไปเสพบุคคลเช่นใด บุคคลนั้นเป็นผู้เช่นกับบุคคลที่ตนเสพนั้น เพราะว่าการอยู่ร่วมกันเป็นเช่นนั้น
คนชั่วส้องเสพบุคคลอื่นผู้บริสุทธิ์โดยปรกติอยู่ ย่อมทำบุคคลอื่นผู้บริสุทธิ์โดยปรกติที่ส้องเสพตน ให้ติดเปื้อนด้วยความชั่ว เหมือนลูกศรที่แช่ยาพิษ ถูกยาพิษติดเปื้อนแล้ว ย่อมทำแล่งลูกศรซึ่งไม่ติดเปื้อนแล้ว ให้ติดเปื้อนด้วยยาพิษ ฉะนั้น
นักปราชญ์ไม่พึงเป็นผู้มีคนชั่วเป็นเพื่อนเลย เพราะความกลัวแต่การเข้าไปติดเปื้อน
คนใดห่อปลาเน่าไว้ด้วยใบหญ้าคา แม้หญ้าคาของคนนั้นย่อมมีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป การเข้าไป ส้องเสพคนพาล ย่อมเป็นเหมือนอย่างนั้น
ส่วนคนใดห่อกฤษณาไว้ด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของคนนั้นย่อมมีกลิ่นหอมฟุ้งไป การเข้าไปส้องเสพนักปราชญ์ ย่อมเป็นเหมือนอย่างนั้น เพราะเหตุนั้น บัณฑิตรู้ความสำเร็จผลแห่งตน ดุจห่อใบไม้แล้ว ไม่พึงเข้าไปเสพอสัตบุรุษ พึงเสพสัตบุรุษเพราะว่าอสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมให้ถึงสุคติ
(๒๘) กิเลสเกิดเพราะความเกี่ยวข้อง บุคคลย่อมตัดเสียได้เพราะความไม่เกี่ยวข้อง
แม้บุคคลผู้มีความเป็นอยู่ดี แต่อาศัยบุคคลผู้เกียจคร้าน ย่อมจมลงในสมุทร คือ สงสาร เปรียบเหมือนบุคคลขึ้นสู่แพไม้น้อย ๆ พึงจมลงในมหรรณพ ฉะนั้น
เพราะเหตุนั้น บุคคลพึงเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน มีความเพียรอันเลวนั้นเสียพึงอยู่ร่วมกับพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้สงัดแล้ว ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ผู้มีปรกติเพ่งผู้ปรารภความเพียรเป็นนิตย์ ผู้เป็นบัณฑิต
บุคคลย่อมคบคนธาตุเดียวกัน อัธยาศัยเดียวกันกับตน
(๒๙) แม้ในอดีต แม้ในอนาคต แม้ในปัจจุบัน สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้า ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้าย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี
(๓๐) คูถ (อุจจาระ) กับคูถย่อมเข้ากันได้ ร่วมกันได้ มูตร (ปัสสาวะ) กับมูตรย่อมเข้ากันได้ ร่วมกันได้ เขฬะ (น้ำลาย) กับเขฬะย่อมเข้ากันได้ ร่วมกันได้ บุพโพ (น้ำเหลือง) กับบุพโพย่อมเข้ากันได้ ร่วมกันได้ โลหิตกับโลหิตย่อมเข้ากันได้ ร่วมกันได้ แม้ฉันใด
สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
น้ำนมสดกับน้ำนมสดย่อมเข้ากันได้ ร่วมกันได้ น้ำมันกับน้ำมันย่อมเข้ากันได้ ร่วมกันได้ เนยใสกับเนยใสย่อมเข้ากันได้ร่วมกันได้ น้ำผึ้งกับน้ำผึ้งย่อมเข้ากันได้ ร่วมกันได้ น้ำอ้อยกับน้ำอ้อยย่อมเข้ากันได้ ร่วมกันได้ แม้ฉันใด
สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี
กิเลสเพียงดังหมู่ไม้ในป่า เกิดขึ้น เพราะการคบค้าสมาคม ย่อมขาด เพราะไม่คบค้าสมาคม
คนเกาะท่อนไม้เล็ก ๆ พึงจมลงในห้วงมหรรณพ ฉันใด แม้สาธุชนก็ย่อมจมลงเพราะอาศัยคนเกียจคร้าน ฉันนั้น
เพราะฉะนั้น พึงเว้นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวนั้นเสีย พึงอยู่ร่วมกับบัณฑิตผู้สงัด ผู้เป็นอริยะ ผู้มีใจสูง ผู้เพ่งพินิจ ผู้ปรารภความเพียรเป็นนิตย์
(๓๑) แม้ในอดีต แม้ในอนาคต แม้ในปัจจุบัน สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ
สัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา
สัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ
สัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ
สัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย
สัตว์จำพวกที่เกียจคร้าน ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่เกียจคร้าน
สัตว์จำพวกที่มีสติหลงลืม ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีสติหลงลืม
สัตว์จำพวกที่มีปัญญาทราม ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีปัญญาทราม
แม้ในอดีต แม้ในอนาคต แม้ในปัจจุบัน สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ
สัตว์จำพวกที่มีศรัทธา ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีศรัทธา
สัตว์จำพวกที่มีหิริ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีหิริ
สัตว์จำพวกที่มีโอตตัปปะ ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีโอตตัปปะ
สัตว์จำพวกที่มีสุตะมาก ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีสุตะมาก
สัตว์จำพวกที่ปรารภความเพียร ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ปรารภความเพียร
สัตว์จำพวกที่มีสติมั่นคง ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีสติมั่นคง
สัตว์จำพวกที่มีปัญญา ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีปัญญา
(๓๒) แม้ในอดีต แม้ในอนาคต แม้ในปัจจุบัน สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ
พวกทำปาณาติบาต ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกทำปาณาติบาต
พวกทำอทินนาทาน ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับพวกทำอทินนาทาน
พวกทำกาเมสุมิจฉาจาร ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับพวกทำกาเมสุมิจฉาจาร
พวกมุสาวาท ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมุสาวาท
พวกพูดส่อเสียด ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกพูดส่อเสียด
พวกพูดคำหยาบ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกพูดคำหยาบ
พวกพูดเพ้อเจ้อ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกพูดเพ้อเจ้อ
พวกดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอัน เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
พวกมีอภิชฌามาก ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับพวกมีอภิชฌามาก
พวกมีจิตพยาบาทย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมีจิตพยาบาท
พวกมิจฉาทิฐิ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกมิจฉาทิฐิ
พวกมิจฉาสังกัปปะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมิจฉาสังกัปปะ
พวกมิจฉาวาจา ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมิจฉาวาจา
พวกมิจฉากัมมันตะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมิจฉากัมมันตะ
พวกมิจฉาอาชีวะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมิจฉาอาชีวะ
พวกมิจฉาวายามะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมิจฉาวายามะ
พวกมิจฉาสติ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมิจฉาสติ
พวกมิจฉาสมาธิ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมิจฉาสมาธิ
พวกมิจฉาญาณะ ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับพวกมิจฉาญาณะ
พวกมิจฉาวิมุติ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมิจฉาวิมุติ
แม้ในอดีต แม้ในอนาคต แม้ในปัจจุบัน สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ
พวกเว้นขาดจากปาณาติบาต ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกเว้นขาดจากปาณาติบาต
พวกเว้นขาดจากอทินนาทาน ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกเว้นขาดจากอทินนาทาน
พวกเว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกเว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร
พวกเว้นขาดจากมุสาวาท ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกเว้นขาดจากมุสาวาท
พวกเว้นขาดจากคำส่อเสียด ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกเว้นขาดจากคำส่อเสียด
พวกเว้นขาดจากคำหยาบ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกเว้นขาดจากคำหยาบ
พวกเว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกเว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ
พวกเว้นขาดจากดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับพวกเว้นขาดจากดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่แห่งความประมาท
พวกไม่มีอภิชฌา ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับพวกไม่มีอภิชฌา
พวกมีจิตไม่พยาบาท ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกมีจิตไม่พยาบาท
พวกสัมมาทิฐิ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมาทิฐิ
พวกสัมมาสังกัปปะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมาสังกัปปะ
พวกสัมมาวาจา ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมาวาจา
พวกสัมมากัมมันตะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมากัมมันตะ
พวกสัมมาอาชีวะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมาอาชีวะ
พวกสัมมาวายามะย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมาวายามะ
พวกสัมมาสติ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมาสติ
พวกสัมมาสมาธิ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมาสมาธิ
พวกสัมมาญาณะ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมาญาณะ
พวกสัมมาวิมุติ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับพวกสัมมาวิมุติ
ถ้าไม่พบคนที่ควรคบ อยู่คนเดียวประเสริฐกว่า
(๓๓) ถ้าว่าบุคคลพึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ผู้เที่ยวไปด้วยกัน มีปกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้บุคคลนั้นพึงครอบงำอันตรายทั้งปวง มีใจชื่นชม มีสติ เที่ยวไปกับสหายนั้น
ถ้าว่าบุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ผู้เที่ยวไปด้วยกัน มีปกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้ บุคคลนั้นพึงเที่ยวไปผู้เดียว ดุจพระราชาทรงละแว่นแคว้น อันพระองค์ทรงชนะแล้ว เสด็จเที่ยวไปพระองค์เดียว ดุจช้างชื่อมาตังคะละโขลง เที่ยวไปตัวเดียวในป่า ฉะนั้น
การเที่ยวไปของบุคคลผู้เดียวประเสริฐกว่า เพราะความเป็นสหายไม่มีในชนพาล บุคคลพึงเที่ยวไปผู้เดียว ดุจช้างชื่อมาตังคะ มีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปในป่า และไม่พึงทำบาปทั้งหลาย
สหายทั้งหลาย เมื่อความต้องการเกิดขึ้น นำความสุขมาให้
(๓๔) เราย่อมสรรเสริญสหายผู้ถึงพร้อมด้วยศีลขันธ์เป็นต้น พึงคบสหายผู้ประเสริฐสุด ผู้เสมอกัน กุลบุตรไม่ได้สหายผู้ประเสริฐสุดและผู้เสมอกันเหล่านี้แล้ว พึงเป็นผู้บริโภคโภชนะไม่มีโทษเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น
กุลบุตรพึงเว้นสหายผู้ลามก ไม่พึงเสพด้วยตนเองซึ่งสหายผู้ชี้บอกความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์ ผู้ตั้งอยู่ในกรรมอันไม่เสมอ ผู้ข้องอยู่ ผู้ประมาท พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น
บุคคลพึงคบมิตรผู้เป็นพหูสูต ทรงธรรม ผู้ยิ่งด้วยคุณธรรม มีปฏิภาณ บุคคลรู้จักประโยชน์ทั้งหลาย กำจัดความสงสัยได้แล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น
มนุษย์ทั้งหลายผู้ไม่สะอาด มีปัญญามุ่งประโยชน์ตน ย่อมคบหาสมาคมเพราะมีเหตุเป็นประโยชน์ ผู้ไม่มีเหตุมาเป็นมิตร หาได้ยากในทุกวันนี้ บุคคลพึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น
มิตรเป็นเบื้องต้นและที่สุดของพรหมจรรย์
(๓๕) เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง
สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ความเป็นผู้มีมิตรดี ฉันนั้นเหมือนกัน
(๓๖) เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด
สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งโพชฌงค์ ๗ คือ ความเป็นผู้มีมิตรดี ฉันนั้นเหมือนกัน
(๓๗) เมื่อภิกษุผู้เป็นพระเสขะยังไม่บรรลุอรหัตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม เราไม่พิจารณาเห็น แม้เหตุอันหนึ่งอย่างอื่น กระทำเหตุที่มี ณ ภายนอก ว่ามีอุปการะมาก เหมือนความมีมิตรดีนี้เลย
ภิกษุผู้มีมิตรดี ย่อมละอกุศลเสียได้ ย่อมเจริญกุศลให้เกิดมี ภิกษุใดผู้มีมิตรดี มีความยำเกรง มีความเคารพ กระทำตามคำของมิตรดีทั้งหลาย มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุนั้นพึงบรรลุธรรม อันเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงโดยลำดับ
(๓๘) ธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้วนั้น สำหรับผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี ไม่ใช่สำหรับผู้มีมิตรชั่ว มีสหายชั่ว มีจิตน้อมไปในคนที่ชั่ว
ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ด้วยว่าอาศัยเราตถาคตเป็นมิตรดี
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความเกิดได้
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความแก่ได้
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความเจ็บป่วยได้
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความตายได้
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความเสียใจ และความคับแค้นใจเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความเสียใจ และความคับแค้นใจได้
ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว พึงทราบโดยปริยายนี้แล
(๓๙) เพราะเหตุนั้นแหละ พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี ธรรมอย่างหนึ่งนี้ คือความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี พึงจงอาศัยอยู่เถิด
(๔๐) ภิกษุผู้ดำเนินไปตามทางของพระพุทธเจ้าหรือของพระสาวกของพระพุทธเจ้าใดพึงถึงความสิ้นไปแห่งทุกข์ ภิกษุเป็นบัณฑิตพึงกระทำพระพุทธเจ้าหรือพระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เช่นนั้นให้เป็นมิตร และพึงส้องเสพพระพุทธเจ้าหรือพระสาวกของพระพุทธเจ้านั้น
(๔๑) พวกเธอจงเรียกร้องเราด้วยความเป็นมิตร อย่าเรียกร้องเราด้วยความเป็นข้าศึก ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พวกเธอตลอดกาลนาน
ก็เหล่าสาวก ย่อมเรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นข้าศึก ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นมิตรอย่างไร
ศาสดาในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้อนุเคราะห์ แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดู แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ เหล่าสาวกของศาสดานั้นไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้ และประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา อย่างนี้แล เหล่าสาวกชื่อว่า เรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นข้าศึก ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นมิตร
ก็เหล่าสาวก ย่อมเรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นมิตร ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นข้าศึกอย่างไร
ศาสดาในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้อนุเคราะห์ แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดู แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ เหล่าสาวกของศาสดานั้นฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตรับรู้ และไม่ประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา อย่างนี้แล เหล่าสาวกชื่อว่า เรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นมิตร ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นข้าศึก
เพราะฉะนั้นแล พวกเธอจงเรียกร้องเราด้วยความเป็นมิตร อย่าเรียกร้องด้วยความเป็นข้าศึก ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พวกเธอตลอดกาลนาน
คุณของการเป็นผู้มีมิตรคฤหัสถ์ดี
(๔๒) ความเป็นผู้มีมิตรดี เป็นทางสำหรับหลีกเลี่ยงบุคคลผู้มีมิตรชั่ว
(๔๓) ผู้มีมิตรดี เป็นที่รักของสตรีผู้มีปัญญา
(๔๔) ความเป็นผู้มีมิตรดีงาม เป็นหนึ่งในเหตุให้อายุยืน
(๔๕) คนผู้สงเคราะห์ แสวงหามิตรที่ดี รู้เท่าถ้อยคำที่เขากล่าว ปราศจากตระหนี่ เป็นผู้แนะนำแสดงเหตุผลต่าง ๆ เนือง ๆ ผู้เช่นนั้น ย่อมได้ยศ
(๔๖) ผู้ใดเป็นคนกตัญญูกตเวที มีปัญญา มีกัลยาณมิตร และมีความภักดีมั่นคง ช่วยทำกิจของมิตรผู้ตกยากโดยเต็มใจ บัณฑิตเรียกคนเช่นนั้นว่าสัตบุรุษ
(๔๗) การคบสัตบุรุษ เป็น ๑ ในจักร ๔ ประการ ที่มนุษย์และเทวดาประกอบแล้ว ย่อมถึงความเป็นใหญ่ (และ) ความไพบูลย์ในโภคะทั้งหลาย ในเวลาไม่นานนัก
จักร ๔ ประการ คือ ปฏิรูปเทสวาสะ การอยู่ในถิ่นที่เหมาะ ๑ สัปปุริสูปัสสยะ การคบสัตบุรุษ ๑ อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบ ๑ และปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้มีบุญได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน ๑
นรชนพึงอยู่ในถิ่นที่เหมาะ พึงกระทำอริยชนให้เป็นมิตร ถึงพร้อมด้วยความตั้งตนไว้ชอบ มีบุญได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน ธัญชาติ ทรัพย์ ยศ ชื่อเสียง และความสุขย่อมหลั่งไหลมาสู่นรชนนั้น
(๔๘) บัณฑิตได้มิตรสหายแล้ว ย่อมปกปักรักษาบุตร ปศุสัตว์ และทรัพย์ไว้ได้ เพราะความอนุเคราะห์ของมิตรทั้งหลาย บุคคลผู้มีพระราชาและมีมิตรผู้กล้าหาญ สามารถจะบรรลุถึงประโยชน์ได้ เพราะสหายเหล่านี้ ย่อมมีแก่ผู้มีมิตรธรรมอันบริบูรณ์
บุคคลผู้มีมิตรสหาย มียศ มีตนอันสูงส่ง ย่อมบันเทิงใจอยู่ในโลกนี้ด้วย
(๔๙) บุคคลเสมอกัน ประเสริฐกว่ากัน หรือเลวกว่ากันก็ตาม ก็ควรทำมิตรไมตรีกันไว้ เพราะว่ามิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้
มิตรมีคุณแม้กับพระราชา
(๕๐) พระราชาผู้เป็นบัณฑิต อันกัลยาณมิตรทั้งหลายผู้มีจิตมั่นคง มิได้แตกร้าว เป็นคนสะอาด มีปัญญา สงเคราะห์เป็นอย่างดีแล้ว ย่อมไม่เสื่อมจากศิริ เหมือนช่อฟ้าที่กลอนเหนี่ยวรั้งไว
คุณของการเป็นผู้มีมิตรบรรชิตที่ดี
(๕๑) เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่ เหมือนความเป็นผู้มีมิตรดี
(๕๒) ความเป็นผู้มีมิตรดี ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงมั่น เพื่อความไม่เสื่อมสูญ เพื่อความไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม
(๕๓) เมื่อทำปัจจัยภายนอกให้เป็นเหตุแล้ว เรายังไม่เล็งเห็นเหตุอื่นแม้อันหนึ่งเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งโพชฌงค์ ๗ เหมือนความเป็นผู้มีมิตรดีเลย ผู้มีมิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญโพชฌงค์ ๗ จักกระทำให้มากซึ่งโพชฌงค์ ๗
(๕๔) ข้อที่ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้ก็เป็นนาถกรณธรรม (ธรรมเป็นที่พึ่ง) เป็นธรรมมีอุปการะมาก
(๕๕) ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระก็ดี เป็นมัชฌิมะก็ดี เป็นนวกะก็ดี ย่อมสำคัญภิกษุนั้นว่า ภิกษุนี้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีหนอ ดังนี้ ว่าเป็นผู้พึงว่ากล่าว สั่งสอน ภิกษุนั้น อันภิกษุผู้เป็นเถระ ผู้เป็นมัชฌิมะ ผู้เป็นนวกะ อนุเคราะห์แล้ว พึงหวังความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายอย่างเดียว ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย นี้เป็นธรรมกระทำที่พึ่ง
(๕๖) ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ คือ
๑. ตนจักเป็นผู้มีศีล จักสำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
๒. จักเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งกถา อันเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เป็นที่สบายในการเปิดจิต คือ
อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา สีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสนกถา
๓.จักเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม
๔. จักเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาเห็นความเกิด และความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
ด้วยเหตุนี้ ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นเหตุหนึ่ง ให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้เจริญ และย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้า
(๕๗) พึงระลึกถึงกัลยาณมิตรทั้งหลายว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เรามีกัลยาณมิตรผู้เอ็นดู ผู้ใคร่ประโยชน์ ผู้กล่าวสอน ผู้พร่ำสอนพึงเข้าไปตั้งสติไว้ในภายใน ปรารภกัลยาณมิตรด้วยประการดังนี้ ผู้ประกอบด้วยธรรมนี้ ย่อมละซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันลามก ย่อมไม่ถือมั่น
(๕๘) ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากสัทธรรม เหมือนปลาในน้ำมาก ฉะนั้น
ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมงอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชที่ดีในไร่นา ฉะนั้น
ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้นิพพาน ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระธรรมราชา (พระมหานาคเถระ)
(๕๙) ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากสัทธรรม เหมือนฟ้ากับดิน ฉะนั้น (พระสภิยเถระ)
(๖๐) นักปราชญ์กล่าวสรรเสริญ ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตรไว้เฉพาะในโลกว่า บุคคลผู้คบกัลยาณมิตร ถึงแม้จะเป็นพาลก็พึงเป็นบัณฑิตได้บ้าง
ควรคบสัตบุรุษ เพราะปัญญาย่อมเจริญแก่บุคคลผู้คบสัตบุรุษโดยแท้ คนทุกคนมีกษัตริย์เป็นต้น เมื่อคบสัตบุรุษทั้งหลาย พึงพ้นจากทุกข์แม้ทั้งปวงได้ และพึงรู้แจ้งอริยสัจ ๔ (พระกีสาโคตมีเถรี)
โทษของการคบมิตรชั่ว
(๖๑) เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์อย่างใหญ่ เหมือนความเป็นผู้มีมิตรชั่ว
(๖๒) เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้มีมิตรชั่ว
(๖๓) เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นไปเพื่อความเสื่อมสูญ เพื่อความอันตรธานแห่งสัทธรรม เหมือนความเป็นผู้มีมิตรชั่ว
(๖๔) พวกเธอจักเป็นผู้ไม่มีมิตรชั่ว ไม่มีสหายชั่ว ไม่คบคนชั่ว อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น
(๖๕) ความเป็นผู้มีมิตรชั่วนี้ เป็นความเสื่อมในธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว
(๖๖) พระเทวทัตต์ ผู้อันความเป็นผู้มีมิตรชั่ว (๑ ในอสัทธรรม ๓ ประการ) ครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เป็นผู้เกิดในอบาย เกิดในนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้
(๖๗) เป็นความดีที่บุคคลควรครอบงำย่ำยีความเป็นผู้มีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะเมื่อภิกษุไม่ครอบงำย่ำยีความเป็นผู้มีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว อาสวะที่ทำให้เกิดความคับแค้นเดือดร้อนพึงเกิดขึ้น เมื่อภิกษุครอบงำย่ำยีความเป็นผู้มีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว อาสวะที่ทำให้เกิดความคับแค้นเดือดร้อนเหล่านั้นย่อมไม่เกิด ภิกษุอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ จึงควรครอบงำย่ำยีความเป็นผู้มีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว
เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักครอบงำย่ำยีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว
มิตรชั่วเป็นเหตุให้ถึงความเสื่อม
(๖๘) การประกอบเนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะ
โทษในการประกอบเนือง ๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร ๖ ประการเหล่านี้ คือ
นำให้เป็นนักเลงการพนัน ๑
นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้๑
นำให้เป็นนักเลงเหล้า ๑
นำให้เป็นคนลวงผู้อื่นด้วยของปลอม ๑
นำให้เป็นคนโกงเขาซึ่งหน้า ๑
นำให้เป็นคนหัวไม้ ๑
(๖๙) คนมีมิตรชั่ว มีเพื่อนชั่ว มีมรรยาทและการเที่ยวชั่ว ย่อมเสื่อมจากโลกทั้งสอง คือ จากโลกนี้และจากโลกหน้า และย่อมกำจัดบุรุษเสียจากประโยชน์สุขที่จะพึงได้พึงถึง
(๗๐) เมื่อเธอพิจารณาโดยแยบคายแล้ว เว้นมิตรชั่วที่เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายลงความเห็นว่า เป็นฐานะที่เป็นบาปเสีย ซึ่งเมื่อไม่เว้นอยู่ อาสวะและความเร่าร้อนที่ก่อความคับแค้น ก็จะพึงเกิดขึ้น
(๗๑) ภิกษุเป็นผู้มีมิตรชั่ว จักถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ข้อนี้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดีงาม จักถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ข้อนี้ จึงเป็นฐานะที่มีได้
(๗๒) ภิกษุผู้มีมิตรลามก มีสหายลามก มีเพื่อนฝูงลามก เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้มิตรลามกและประพฤติตามมิตรลามกเหล่านั้นอยู่ จักบำเพ็ญธรรม คือ อภิสมาจาริกวัตรให้บริบูรณ์ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อไม่บำเพ็ญธรรม คือ อภิสมาจาริกวัตรให้บริบูรณ์แล้ว จักบำเพ็ญเสขธรรมให้บริบูรณ์ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อไม่บำเพ็ญเสขธรรมให้บริบูรณ์แล้ว จักบำเพ็ญศีลทั้งหลายให้บริบูรณ์ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อไม่บำเพ็ญศีลทั้งหลายให้บริบูรณ์แล้ว จักละกามราคะ รูปราคะ หรืออรูปราคะ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนฝูงดี เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้มิตรดี และประพฤติตามมิตรเหล่านั้นอยู่ จักบำเพ็ญธรรม คือ อภิสมาจาริกวัตรให้บริบูรณ์ ข้อนี้ ย่อมเป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อบำเพ็ญธรรม คืออภิสมาจาริกวัตรให้บริบูรณ์แล้ว จักบำเพ็ญเสขธรรมให้บริบูรณ์ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อบำเพ็ญเสขธรรมให้บริบูรณ์แล้ว จักบำเพ็ญศีลทั้งหลายให้บริบูรณ์ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์แล้ว จักละกามราคะ รูปราคะ หรืออรูปราคะ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะที่จะมีได้
พุทธวิธีรักษามิตรภาพ
(๗๓) มิตรอันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ
ด้วยการให้ปัน ๑
ด้วยเจรจาถ้อยคำเป็นที่รัก ๑
ด้วยประพฤติประโยชน์ ๑
ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ ๑
ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริง ๑
มิตรอันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ คือ
รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว ๑
รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว ๑
เมื่อมิตรมีภัย เอาเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑
ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ ๑
นับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตร ๑
(๗๔) การไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริง เป็นอาหารของมิตรทั้งหลาย
(๗๕) ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้
(๗๖) ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีนี้ เป็นธรรมที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันและกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน ย่อมเป็นไปเพื่อความ สงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
(๗๗) อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ผู้ใดพึงยุยงให้เราแตกจากมิตร ด้วยคำส่อเสียด ข้อนั้น ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา อนึ่ง เราพึงยุยงคนอื่นให้แตกจากมิตรด้วยคำส่อเสียด ข้อนั้น ก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของคนอื่น
ธรรมข้อใดไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ธรรมข้อนั้น ก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของคนอื่น ธรรมข้อใดไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา เราจะพึงประกอบผู้อื่นไว้ด้วยธรรมข้อนั้นอย่างไร
(๗๘) บุคคลไม่ควรคบหาคนที่ปราศจากศรัทธา เหมือนบ่อที่ไม่มีน้ำ ถ้าแม้บุคคลจะพึงขุดบ่อน้ำนั้น บ่อนั้นก็จะมีน้ำที่มีกลิ่นโคลนตม
บุคคลควรคบคนที่เลื่อมใสเท่านั้น ควรเว้นคนที่ไม่เลื่อมใส ควรเข้าไปนั่งใกล้คนที่เลื่อมใส เหมือนคนผู้ต้องการน้ำเข้าไปหาห้วงน้ำ ฉะนั้น
ควรคบคนผู้คบด้วย ไม่ควรคบคนผู้ไม่คบด้วย
ผู้ใดไม่คบคนผู้คบด้วย ผู้นั้นชื่อว่ามีธรรมของอสัตบุรุษ
ผู้ใดไม่คบคนผู้คบด้วย ไม่ซ่องเสพคนผู้ซ่องเสพด้วย ผู้นั้นแล เป็นมนุษย์ชั่วช้าที่สุด เหมือนลิง ฉะนั้น
มิตรทั้งหลายย่อมแหนงหน่ายกันด้วยเหตุ ๓ ประการนี้ คือ
ด้วยการคลุกคลีกันเกินไป ๑
ด้วยการไม่ไปมาหากัน ๑
ด้วยการขอในเวลาไม่สมควร ๑
เพราะฉะนั้น บุคคลจึงไม่ควรไปมาหากันให้พร่ำเพรื่อนัก ไม่ควรเหินห่างไปให้เนิ่นนาน และควรขอสิ่งที่ควรขอ ตามเหตุกาลที่สมควร ด้วยอาการอย่างนี้ มิตรทั้งหลายจึงจะไม่แหนงหน่ายกัน
คนที่รักกัน ย่อมไม่เป็นที่รักกันได้ เพราะการอยู่ร่วมกันนานเกินควร
(๗๙) บุคคลนอนหรือนั่งที่ร่มเงาแห่งต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งแห่งต้นไม้นั้น เพราะบุคคลผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนชั่วช้า
บุรุษรู้แจ้งธรรมแต่สำนักอาจารย์ใด อนึ่ง การที่สัตบุรุษทั้งหลายกำจัดความสงสัยของบุรุษนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าเป็นดังเกาะหรือเป็นที่พึ่งพาของบุรุษนั้น คนมีปัญญาไม่พึงละมิตรภาพกับอาจารย์เช่นนั้น
(๘๐) ผู้ใดเป็นผู้มีปัญญาดี มีความรู้ปรุโปร่ง เมื่อเหตุเกิดขึ้น ไม่ดูหมิ่นมิตรสหายทั้งหลายด้วย ศิลป สกุล ทรัพย์ และด้วยชาติ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการไม่ดูหมิ่นสหายของผู้นั้นว่า เป็นสวัสดิมงคลในสหายทั้งหลาย
สัตบุรุษทั้งหลาย เป็นผู้ชอบพอคุ้นเคยกัน เป็นมิตรแท้ของผู้ใด ผู้มีคำพูดมั่นคง อนึ่ง ผู้ใดเป็นผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร แบ่งปันทรัพย์ของตนให้แก่มิตร บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการได้ประโยชน์เพราะอาศัยมิตร และการแบ่งปันของผู้นั้นว่า เป็นความสวัสดิมงคลในมิตรทั้งหลาย
(๘๑) บุคคลใดไม่ให้ ไม่แบ่งปันโภคสมบัติลงได้ พูดวาจาที่อ่อนหวาน แต่ไร้ผลในมิตรทั้งหลาย ความสนิทสนมกับบุคคลนั้น ย่อมไม่ยืดยาว
(๘๒) บุคคลอยู่ในเรือนของผู้ใดแม้คืนเดียว ได้ข้าวน้ำด้วย ไม่ควรคิดร้ายแก่ผู้นั้นแม้ด้วยใจ ผู้คิดร้ายต่อบุคคลเช่นนั้น ชื่อว่าประทุษร้ายมิตร
(๘๓) ขอท่านอย่าได้ประทุษร้ายต่อมิตร เพราะว่าผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวในโลกนี้ ผู้ที่ประทุษร้ายต่อมิตรย่อมเป็นโรคเรื้อน เกลื้อนกลาก เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรก
พุทธวิธีอนุเคราะห์มิตรที่มีประโยชน์สูงสุด
(๘๔) ท่านทั้งหลายพึงอนุเคราะห์คนใด และคนเหล่าใดเป็นมิตร อำมาตย์ ญาติ หรือสาโลหิต พึงสำคัญว่าเป็นคำที่ควรฟัง ท่านทั้งหลายพึงชักชวนคนเหล่านั้นให้ตั้งอยู่เสมอ ให้ดำรงอยู่ ในฐานะ ๓ ประการ คือ
พึงชักชวน พึงให้ตั้งอยู่เสมอ พึงให้ดำรงอยู่ในความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ฯลฯ ทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
พึงชักชวน พึงให้ตั้งอยู่เสมอ พึงให้ดำรงอยู่ในความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
พึงชักชวน พึงให้ตั้งอยู่เสมอ เพื่อให้ดำรงอยู่ในความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นจะยิ่งกว่า
มหาภูต ๔ คือ ปฐวีธาตุ ๑ อาโปธาตุ ๑ เตโชธาตุ ๑ วาโยธาตุ ๑ พึงเป็นอย่างอื่นได้ แต่พระอริยสาวกผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ไม่พึงเป็นอย่างอื่นไปได้เลยนี้ ความเป็นอื่นในข้อนั้น ข้อที่พระอริยสาวกนั้น จักเข้าถึงนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือเปรตวิสัย นี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
(๘๕) เธอทั้งหลายพึงอนุเคราะห์ชนเหล่าใด และชนเหล่าใดพึงสำคัญถ้อยคำที่ควรฟัง ชนเหล่านั้นจะเป็นมิตร อมาตย์ ญาติหรือสาโลหิตก็ตาม เธอทั้งหลายพึงชักชวน ชักนำ ให้ตั้งอยู่ในการเจริญสติปัฏฐาน ๔
(๘๖) เธอทั้งหลายจะพึงอนุเคราะห์ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง และชนเหล่าใดจะเป็นมิตร อมาตย์ ญาติหรือสาโลหิตก็ตาม จะพึงสำคัญถ้อยคำว่าเป็นสิ่งที่ตนควรเชื่อฟังชนเหล่านั้น เธอทั้งหลายพึงให้สมาทาน ให้ตั้งมั่น ให้ประดิษฐานอยู่ในการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
(๘๗) เธอทั้งหลายพึงอนุเคราะห์เหล่าชนผู้เป็นมิตร อำมาตย์ ญาติหรือสาโลหิต ผู้ที่สำคัญโอวาทว่า เป็นสิ่งที่ตนควรฟัง พึงยังเขาเหล่านั้นให้สมาทาน ให้ตั้งมั่น ให้ดำรงอยู่ในองค์แห่งธรรมเป็นเครื่องบรรลุโสดา ๔ ประการ
เมื่อจะหลุดพ้นจากทุกข์ ต้องสละแม้มิตรภาพที่ดี
(๘๘) การที่บุคคลผู้ยินดีแล้วด้วยการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ จะพึงบรรลุวิมุตติอันมีในสมัยนั้น ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น
บุคคลอนุเคราะห์มิตรสหาย เป็นผู้มีจิตปฏิพัทธ์แล้ว ชื่อว่าย่อมยังประโยชน์ให้เสื่อม บุคคลเห็นภัย คือ การยังประโยชน์ให้เสื่อมในการเชยชิดนี้ พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น
(๘๙) ผู้มีจิตพัวพัน ช่วยอนุเคราะห์มิตรสหาย ย่อมทำตนให้เสื่อมประโยชน์ ท่านมองเห็นภัยนี้ในความสนิทสนม จึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว เช่นกับนอแรด
ต้องมีการปรึกษากันในท่ามกลางสหาย ทั้งในที่อยู่ ที่บำรุง ที่ไป ที่เที่ยว ท่านเล็งเห็นความไม่โลภ ความเสรี จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด
การเล่น (เป็น) ความยินดีมีอยู่ในท่ามกลางสหาย ส่วนความรักในบุตรเป็นกิเลสใหญ่ ท่านเกลียดความวิปโยค เพราะของที่รัก จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด
ถ้าจะพึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ประพฤติเช่นเดียวกัน อยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ พึงครอบงำอันตรายทั้งสิ้นเสียแล้ว พึงดีใจ มีสติ เที่ยวไปกับสหายนั้น
ถ้าจะไม่ได้สหาย ผู้มีปัญญารักษาตน ประพฤติเช่นเดียวกัน อยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนพระราชาทรงละแว่นแคว้นที่ทรงชนะแล้วเที่ยวไปผู้เดียว ดังช้างมาตังคะ ละโขลง อยู่ในป่า
ความจริง เราย่อมสรรเสริญสหายสมบัติ พึงซ่องเสพสหายที่ประเสริฐกว่า หรือที่เสมอกัน (เท่านั้น) เมื่อไม่ได้สหายเหล่านี้ ก็พึงคบหากับกรรมอันไม่มีโทษ เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด
กุลบุตรพึงเว้นสหายผู้ลามก ผู้มักชี้อนัตถะ ตั้งมั่นอยู่ในฐานะผิดธรรมดา ไม่พึงเสพสหายผู้ขวนขวาย ผู้ประมาทด้วยตน พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด
กุลบุตรพึงคบมิตรผู้เป็นพหูสูต ทรงธรรม มีคุณยิ่ง มีปฏิภาณ ท่านรู้ประโยชน์ทั้งหลาย บรรเทาความสงสัยแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด
ชนทั้งหลายมีเหตุเป็นประโยชน์ จึงคบหาสมาคมกัน มิตรทั้งหลายไม่มีเหตุ หาได้ยากในวันนี้ มนุษย์ทั้งหลายมีปัญญา มองประโยชน์ตนไม่สะอาด พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด
ลักษณะของผู้เป็นมิตรและมิใช่มิตร
(๙๐) ศัตรู เห็นเข้าแล้วไม่ยิ้มแย้ม ไม่แสดงความยินดีตอบ สบตากันแล้ว เบือนหน้าหนี ไม่แลดู ประพฤติตรงกันข้ามเสมอ อาการเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในศัตรู เป็นเครื่องให้บัณฑิตเห็นและได้ฟังแล้ว พึงรู้ได้ว่า เป็นศัตรู
(๙๑) อาการ ๑๖ ของผู้เป็นมิตรและมิใช่มิตร
บุรุษผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญา ได้เห็น และได้ฟัง ซึ่งบุคคลผู้ทำกรรมอย่างไร จึงจะรู้ได้ว่า ผู้นี้ไม่ใช่มิตร
๑. บุคคลผู้มิใช่มิตรเห็นเพื่อน ๆ แล้ว ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส
๒. ไม่ร่าเริงต้อนรับเพื่อน
๓. ไม่แลดูเพื่อน
๔. กล่าวคำย้อนเพื่อน
๕. คบหาศัตรูของเพื่อน
๖. ไม่คบหามิตรของเพื่อน
๗. ห้ามผู้ที่กล่าวสรรเสริญเพื่อน
๘. สรรเสริญผู้ที่ด่าเพื่อน
๙. ไม่บอกความลับแก่เพื่อน
๑๐. ไม่ช่วยปกปิดความลับของเพื่อน
๑๑. ไม่สรรเสริญการงานของเพื่อน
๑๒. ไม่สรรเสริญปัญญาของเพื่อน
๑๓. ยินดีในความฉิบหายของเพื่อน
๑๔. ไม่ยินดีในความเจริญของเพื่อน
๑๕. ได้อาหารที่ดีมีรสอร่อยมาแล้ว ก็มิได้นึกถึงเพื่อน
๑๖. ไม่ยินดีอนุเคราะห์เพื่อนว่า อย่างไรหนอ เพื่อนของเราพึงได้ลาภจากที่นี้บ้าง
อาการดังกล่าวมา ๑๖ ประการนี้ มีอยู่ในบุคคลผู้มิใช่มิตร
บัณฑิตมีปัญญา ได้เห็น และได้ฟังบุคคลผู้กระทำกรรมอย่างไร จึงจะรู้ได้ว่า ผู้นี้เป็นมิตร
๑. บุคคลผู้เป็นมิตรนั้น ย่อมระลึกถึงเพื่อนผู้อยู่ห่างไกล
๒. ย่อมยินดีต้อนรับเพื่อนผู้มาหา
๓. ถือว่าเป็นเพื่อนของเราจริง รักใคร่จริง
๔. ทักทายปราศรัยด้วยวาจาอันไพเราะ
๕. ย่อมคบหาผู้ที่เป็นมิตรของเพื่อน
๖. ไม่คบหาผู้ที่ไม่ใช่มิตรของเพื่อน
๗. ห้ามปรามผู้ที่ด่าติเตียนเพื่อน
๘. สรรเสริญผู้ที่พรรณนาคุณความดีของเพื่อน
๙. ย่อมบอกความลับแก่เพื่อน
๑๐. ปิดความลับของเพื่อน
๑๑. สรรเสริญการงานของเพื่อน
๑๒. สรรเสริญปัญญาของเพื่อน
๑๓. ย่อมยินดีในความเจริญของเพื่อน
๑๔. ไม่ยินดีในความเสื่อมของเพื่อน
๑๕. ได้อาหารมีรสอร่อยมา ย่อมระลึกถึงเพื่อน
๑๖. ยินดีอนุเคราะห์เพื่อนว่า อย่างไรหนอ เพื่อนของเราจะพึงได้ลาภจากที่นี้บ้าง
อาการดังกล่าวมา ๑๖ ประการนี้ มีอยู่ในบุคคลผู้เป็นมิตร
(๙๒) ผู้ใดหมดความอาย เกลียดชังความมีเมตตา กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตรสหายของท่าน ไม่ได้เอื้อเฟื้อทำการงานที่ดีกว่า บัณฑิตรู้จักผู้นั้นได้ดีว่า ผู้นี้มิใช่มิตรสหายของเรา
เพราะว่าบุคคลชอบทำอย่างไร ก็พึงกล่าวอย่างนั้น ไม่ชอบทำอย่างไร ก็ไม่พึงกล่าวอย่างนั้นบัณฑิตทั้งหลายรู้จักบุคคลนั้นว่า ผู้ไม่ทำให้สมกับพูด เป็นแต่กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตรสหายของท่านผู้ใดไม่ประมาทอยู่ทุกขณะ มุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นมิตร ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่ได้ ไม่มีความรังเกียจในมิตร นอนอยู่อย่างปลอดภัย เหมือนบุตรนอนแอบอกมารดา ฉะนั้น ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้
อานิสงส์ของผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร
(๙๓) ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ออกจากเรือนของตน ไปในที่ไหน ๆ ย่อมมีอาหารมากมาย คนเป็นอันมากย่อมอาศัยผู้นั้นเป็นอยู่
ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นไปยังชนบท นิคม ราชธานีใด ๆ ย่อมเป็นผู้อันชนทั้งหลายในชนบท นิคม ราชธานีนั้น ๆ บูชา
ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นโจรทั้งหลายไม่ข่มเหง พระมหากษัตริย์ก็ไม่ทรงดูหมิ่น และผู้นั้นย่อมข้ามพ้นศัตรูทั้งปวงได้
ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นไม่ได้โกรธเคืองใคร ๆ มายังเรือนของตน ย่อมเป็นผู้อันมหาชนยินดีต้อนรับในสภา ทั้งเป็นผู้สูงสุดในหมู่ญาติ
ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นสักการะคนอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้อันคนอื่นสักการะตอบ เคารพคนอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้อันคนอื่นเคารพตอบ ทั้งเป็นผู้อันบุคคลกล่าวสรรเสริญเกียรติคุณ
ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร บูชาผู้อื่น ย่อมได้บูชาตอบ ไหว้ผู้อื่น ย่อมได้ไหว้ตอบ ทั้งย่อมถึงอิสริยยศและเกียรติยศ
ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นย่อมรุ่งเรืองเหมือนกองไฟ ย่อมไพโรจน์เหมือนเทวดา เป็นผู้อันสิริไม่ละแล้ว
ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร โคของผู้นั้นย่อมตกลูกมาก พืชในนาย่อมงอกงาม ผู้นั้นย่อมได้บริโภคผลที่หว่านลงแล้ว
ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ผู้นั้นพลาดตกจากภูเขา หรือพลาดตกจากต้นไม้ ย่อมได้ที่พึ่ง
ผู้ใดไม่ประทุษร้ายมิตร ศัตรูทั้งหลายย่อมไม่ข่มขี่ผู้นั้น เหมือนต้นไทรที่มีรากหยั่งลงมั่นแล้ว ลมประทุษร้ายไม่ได้ฉะนั้น
(๙๔) ในศัตรู บุคคลพึงระแวงไว้ก่อน แม้ในมิตร ก็ไม่พึงวางใจ ภัยที่เกิดขึ้นจากคนไม่มีภัย ย่อมกัดกร่อนจนถึงโคนราก
(๑๖) หิริสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๓๑๖ หน้าที่ ๒๘๗
อาทิจจสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ ข้อที่ ๕๑๖
สารีปุตตสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ ข้อที่ ๘ หน้า ๓
เมฆิยสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๒๐๗ หน้าที่ ๒๘๘