Main navigation
มรรค ๘
Share:

(๑) อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือ ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

(๒) อริยมรรค มีองค์ ๘ คือ 

๑. สัมมาทิฏฐิ (ปัญญาอันเห็นชอบ) 

๒. สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) 

๓. สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) 

๔. สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) 

๕. สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) 

๖. สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) 

๗. สัมมาสติ (ความรำลึกชอบ) 

๘. สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน

- ความรู้ในทุกข์
- ความรู้ในทุกขสมุทัย
- ความรู้ในทุกขนิโรธ
- ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

นี้เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ

สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน

- ความดำริในอันออกจากกาม
- ความดำริในอันไม่พยาบาท
- ความดำริในอันไม่เบียดเบียน 

นี้เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ

สัมมาวาจา เป็นไฉน

- ความงดเว้นจากการพูดเท็จ
- ความงดเว้นจากการพูดส่อเสียด
- ความงดเว้นจากการพูดหยาบ
- ความงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ

นี้เรียกว่าสัมมาวาจา

สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน

- ความงดเว้นจากการฆ่าสัตว์
-  ความงดเว้นจากการลักทรัพย์
- ความงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

นี้เรียกว่าสัมมากัมมันตะ

สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน

บุคคลผู้อริยสาวกในศาสนานี้ ละมิจฉาอาชีวะแล้ว เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยสัมมาอาชีวะ

นี้เรียกว่าสัมมาอาชีวะ

สัมมาวายามะ เป็นไฉน

- ภิกษุในศาสนานี้ ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น
- ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
- ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียรประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อสร้างกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น
- ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อความดำรงมั่น ความไม่สาบสูญ ความภิญโยยิ่ง ความไพบูลย์ ความเจริญ ความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว

นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ

สัมมาสติ เป็นไฉน

- ภิกษุในศาสนานี้ พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก
- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก
- พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก 

นี้เรียกว่า สัมมาสติ

สัมมาสมาธิ เป็นไฉน

- ภิกษุในศาสนานี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่
- บรรลุทุติยฌาน อันยังใจให้ผ่องใสเพราะวิตกวิจารสงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้นภายในไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแก่สมาธิอยู่
- เพราะคลายปีติได้อีกด้วย จึงเป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌานซึ่งเป็นฌานที่พระอริยะทั้งหลายกล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดังนี้ อยู่
- บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ 

นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ

(๓)  อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสังขตะ

อริยมรรคมีองค์ ๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ คือ

วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ สงเคราะห์ด้วยศีลขันธ์

ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งจิตไว้ชอบ สงเคราะห์ด้วยสมาธิขันธ์

ปัญญาชอบ ความดำริชอบ สงเคราะห์ด้วยปัญญาขันธ์.

(๔) อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นมรรค เป็นปฏิปทาเพื่อ

-  กระทำนิพพานให้แจ้ง
-  กระทำอรหัตให้แจ้ง
-  เพื่อละราคะ โทสะ โมหะ
-  เพื่อกำหนดรู้ ทุกข์
-  เพื่อกระทำความโล่งใจให้แจ้ง
-  เพื่อกระทำความโล่งใจอย่างยิ่งนั้นให้แจ้ง
-  เพื่อกำหนดรู้ เวทนา ๓ อย่าง
-  เพื่อละอาสวะ
-  เพื่อละอวิชชา
-  เพื่อละตัณหา
-  เพื่อละโอฆะ
-  เพื่อละอุปาทาน
-  เพื่อกำหนดรู้ภพ
-  เพื่อกำหนดรู้สภาพทุกข์
-  เพื่อกำหนดรู้สักกายะ

(๕) มรรคเกิดอย่างไร

- สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น เป็น มรรคย่อมเกิด
- สัมมาสังกัปปะด้วยอรรถว่าดำริ เป็น มรรคย่อมเกิด
- สัมมาวาจาด้วยอรรถว่ากำหนด เป็น มรรคย่อมเกิด
- สัมมากัมมันตะด้วยอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน เป็น มรรคย่อมเกิด
- สัมมาอาชีวะด้วยอรรถว่าผ่องแผ้ว เป็น มรรคย่อมเกิด
- สัมมาวายามะ ด้วยอรรถว่าประคองไว้ เป็น มรรคย่อมเกิด
- สัมมาสติด้วยอรรถว่าตั้งมั่น เป็น มรรคย่อมเกิด
- สัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็น มรรคย่อมเกิด 

(๖) เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรค (มรรค ๙) อันประเสริฐนี้อยู่อย่างนี้ ชื่อว่ามีสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ ถึงความเจริญบริบูรณ์ บุคคลนั้นย่อมมีธรรมทั้งสอง คือสมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันเป็นไป

เขาชื่อว่ากำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ละธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง เจริญธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง

 

อ้างอิง:  
(๑) ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๔ ข้อที่ ๑๓ หน้า ๑๖
(๒) มรรควิภังค์ พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๓๕ ข้อที่ ๕๖๙-๕๗๗ หน้า ๒๖๘-๒๖๙
(๓) จูฬเวทัลลสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๕๐๘ หน้า ๓๘๙
(๔) ชัมพุขาทกสังยุตต์ พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ ข้อที่ ๔๙๗-๕๑๒ หน้า ๒๖๖-๒๗๕
(๕) ยุคนัทธกถา พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๓๑ ข้อที่ ๕๓๕ หน้า ๒๔๖
(๖) สฬายตนวิภังคสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๘๒๙ หน้า ๓๙๗

 

คำต่อไป