ปีติ เป็น ๑ ในองค์ ๕ ของ ปฐมฌาณ
(๑) ปีติ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน
ความอิ่มใจ ความปราโมทย์ ความยินดียิ่ง ความบันเทิง ความร่าเริง ความรื่นเริง ความปลื้มใจ ความตื่นเต้น ความที่จิตชื่นชมยินดี ในสมัยนั้นอันใด นี้ชื่อว่า ปีติ มีในสมัยนั้น.
(๒) ปีติมีอามิสมีอยู่ ปีติไม่มีอามิสมีอยู่ ปีติที่ไม่มีอามิสกว่าปีติที่ไม่มีอามิสมีอยู่
ก็ปีติมีอามิสเป็นไฉน
ปีติเกิดขึ้นเพราะอาศัยกามคุณ ๕ เหล่านี้ เรียกว่า ปีติมีอามิส
ก็ปีติไม่มีอามิสเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เรียกว่า ปีติไม่มีอามิส
ก็ปีติไม่มีอามิสกว่าปีติไม่มีอามิสเป็นไฉน
ปีติที่เกิดขึ้นแก่ภิกษุขีณาสพผู้พิจารณาเห็นจิตซึ่งหลุดพ้นแล้วจากราคะ จากโทสะ จากโมหะ นี้เราเรียกว่า ปีติไม่มีอามิสกว่าปีติไม่มีอามิส
(๓) ท่านทั้งหลายไม่ควรทำความยินดีด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า เราได้บำรุงภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ท่านทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า พวกเราพึงเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ตามกาลอันสมควร
สมัยใด อริยสาวกเข้าถึงปีติที่เกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้น ฐานะ ๕ ประการ ย่อมไม่มีแก่อริยสาวกนั้น คือ
- ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยกาม ๑
- สุข โสมนัสอันประกอบด้วยกาม ๑
- ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยอกุศล ๑
- สุข โสมนัสอันประกอบด้วยอกุศล ๑
- ทุกข์ โทมนัสอันประกอบด้วยกุศล ๑
(๔) ปีติดับในที่ไหน และใครดับปีติได้แล้ว
ปีติย่อมดับในตติยฌานนี้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ท่านเหล่านั้นดับปีติได้แล้ว
อ้างอิง:
(๔) วิหารสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๒๓๗ หน้าที่ ๓๓๓
ศึกษาเพิ่มเติมต่อได้ที่ ปีติ (คลิก)